นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นสักขีพยาน การลงนามความร่วมมือ ว่าด้วยการควบคุมการเผาอ้อยและพืชไร่ เพื่อป้องกันปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิธีลงนามความร่วมมือในครั้งนี้
ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากรายงานคุณภาพอากาศโลก โดย IQAir ระบุว่าค่าฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ยรายปีของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 19.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไม่เกิน 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แสดงว่าฝุ่น PM 2.5 ยังคงเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างกว้างขวางในระยะยาว โดยการเผาอ้อยเป็นหนึ่งในสาเหตุของฝุ่น PM 2.5 ดังกล่าว
ที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการลดการเผาอย่างต่อเนื่อง หากพิจารณาพัฒนาการของมาตรการลดการเผา สามารถแบ่งได้เป็น 5 ยุค ได้แก่
ยุคที่ 1.0 : ก่อนปีการผลิต 2561/2562 ซึ่งไม่มีมาตรการลดการเผาอย่างชัดเจน พบว่ามีอ้อยเผามากกว่าร้อยละ 60
ยุคที่ 2.0 : ช่วงปีการผลิต 2562/2563 ถึงช่วงปีการผลิต 2565/2566 กำหนดมาตรการลดการเผาโดยช่วยเหลือเกษตรกรที่ตัดอ้อยสด 120 บาท/ตันอ้อย ซึ่งสามารถควบคุมอ้อยเผาได้น้อยกว่าร้อยละ 35
.
ยุคที่ 3.0 : ช่วงปีการผลิต 2567/2568 กำหนดมาตรการปรับพื้นที่ (60:60), มาตรการช่วยเหลือการตัดอ้อยสด, มาตรการซื้อ-ขายใบอ้อย (51 บาท/ตันใบอ้อย), มาตรการกำกับควบคุมโรงงานน้ำตาล และมาตรการหยุดรับอ้อยช่วงปีใหม่ (7 วัน) ซึ่งสามารถควบคุมการเผาอ้อยไดน้อยกว่าร้อยละ 14.86 เป็นการบูรณาการการดำเนินงานโดยบังคับใช้กฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรมและความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถควบคุมอ้อยเผาได้ลดลงเหลือร้อยละ 14.86 ซึ่งมีอ้อยเผาน้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์
ยุคที่ 4.0 : ปีการผลิตปัจจุบัน 2568/2569 กำหนดมาตรการรับอ้อยสดตั้งแต่เปิดหีบ, มาตรการปรับปรุงอุปกรณ์และเครื่องจักรกลการเกษตร (31 บาท/ตันอ้อยสด), มาตรการช่วยเหลือตัดอ้อยสด (69 บาท/ตันอ้อยสด), มาตรการซื้อ-ขายใบอ้อย 51 บาท/ตันใบอ้อย (คิดเป็น 300 บาท/ตันอ้อย), มาตรการจ่ายเงินช่วยเหลืออ้อยสดร้อยละ 100 ที่ไม่มีการเผาอ้อยและแปลงอ้อยตลอดปี (Burn Scar), มาตรการำหนดวันเปิดหีบตามสถิติการรับอ้อยที่ถูกลักลอบเผาของฤดูการผลิตก่อนหน้า (ทำได้ดี) มาตรการกำกับควบคุมโรงงานน้ำตาล และมาตรการหยุดรับอ้อยช่วงปีใหม่ (9 วัน) ซึ่งล่าสุดจากมาตรการเพิ่มอ้อยตัดสด ลดการเผาฤดูการผลิตปี 2568/2569 ข้อมูลสถานการณ์ผลิตอ้อย ตั้งแต่วันที่ 1 - 24 ธันวาคม 2568 พบว่ามีปริมาณอ้อยสดเข้าหีบสูงถึง 98.21% จากปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมด ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ตั้งเป้าตลอดฤดูการผลิตนี้ให้มีปริมาณอ้อยสดเข้าหีบ 90%
ยุคที่ 5.0 : เป็นการต่อยอดความสำเร็จในฤดูการผลิตปี 2568/2569 นี้ ซึ่งเป็นก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีแนวคิดผลักดันมาตรการจ่ายเงินช่วยเหลือตามประสิทธิภาพ และการใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม ตลอดจนการประยุกต์ใช้ข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยา จากแรงกดอากาศและทิศทางลม เพื่อควบคุมการเผาอ้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานของการควบคุมการเผาในเชิงพื้นที่ และการประยุกต์ใช้ข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเทคโนโลยีดิจิทัล ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการเพิ่มอ้อยตัดสดลดการเผา สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือจากทั้งเกษตรกร โรงงานน้ำตาล และหน่วยงานทุกภาคส่วน โดยได้ยกระดับความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐหลักอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กระทรวงอุตสาหกรรมจึงร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ซึ่งเป็นที่มาของลงนามความร่วมมือว่าด้วยการควบคุมการเผาอ้อยและพืชไร่ เพื่อป้องกันปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในวันนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐในการแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยในช่วงฤดูการผลิตปี 2568/2569 ถึงฤดูการผลิตปี 2569/2570 โดยให้ความสำคัญกับการลดการเผาอ้อยทั้งก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว ควบคู่กับการลดผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และเครือข่ายการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์และต่อยอดในระยะยาว ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ด้านนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า มท. มุ่งมั่นที่จะผลักดันความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในช่วงฤดูการผลิตปี 2568/2569 ถึงปี 2569/2570 ให้ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านกลไกของกรมการปกครอง กรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย หน่วยงานราชการระดับจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยให้จังหวัดต่าง ๆ ควบคุมการเผาอ้อยอย่างเข้มงวด บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และใช้มาตรการปราบปรามการลักลอบเผาอย่างเด็ดขาด พร้อมทั้งให้ความสำคัญในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ชุมชนและเกษตรกรชาวไร่อ้อย เพื่อให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมือในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยบูรณาการในการแก้ไขปัญหาในทุกระดับ ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น
ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า อว. มีความพร้อมที่จะนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศและข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมมาประยุกต์ใช้เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ปลูกอ้อยและอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายอย่างเป็นระบบ สนับสนุนการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ การทำแผนที่พื้นที่ปลูกอ้อย การติดตามสถานการณ์การเผาอ้อยด้วยระบบตรวจจับจุดความร้อน เพื่อเฝ้าระวังและติดตามการเผาอ้อยแบบเรียลไทม์ที่ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายทั่วประเทศ โดยใช้ดาวเทียมความละเอียดสูงและเทคโนโลยีการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อระบุจุดเผาไหม้ วิเคราะห์พื้นที่ที่มีความเสี่ยง และคาดการณ์การแพร่กระจายของฝุ่น PM 2.5 ข้อมูลเหล่านี้จะถูกใช้เพื่อให้หน่วยงานใช้ในการบังคับใช้กฎหมายและควบคุมการเผา รวมถึงการกำกับดูแลเกษตรกรและโรงงาน และเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะเพื่อสร้างความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน
นายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า ดีอีมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการข้อมูลด้านอ้อยและน้ำตาลทรายอย่างเป็นระบบ จะสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ การคาดการณ์แนวโน้มและพฤติกรรมการเผาอ้อย และการสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตัดสินใจเชิงนโยบายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ส่งเสริมการใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัลที่บูรณาการข้อมูลจากทุกหน่วยงาน ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นต้นแบบสำคัญของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการแก้ไขปัญหาภาคเกษตรและสิ่งแวดล้อม
ภายใต้กรอบความร่วมมือแบบบูรณาการครั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะกำกับดูแลเกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลให้ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรการลดการเผาอ้อย กระทรวงมหาดไทยจะนำกลไกการบริหารราชการระดับจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบังคับใช้กฎหมาย และสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ขณะที่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศและข้อมูลดาวเทียมมาประยุกต์ใช้ในการติดตามสถานการณ์การเผาอ้อย การบริหารจัดการพื้นที่ และการคาดการณ์ผลผลิต เพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจเชิงบริหารอย่างเป็นระบบ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ในการบริหารจัดการข้อมูล วิเคราะห์ คาดการณ์ และสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ถ่ายทอดองค์ความรู้ และการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกฝ่าย พร้อมกำหนดหลักการด้านทรัพย์สินทางปัญญาและการรักษาความลับอย่างชัดเจน เพื่อให้ความร่วมมือเป็นไปอย่างโปร่งใส และเป็นธรรม ดังนั้น บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ถือเป็นกลไกเชิงนโยบายที่สำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยและ PM 2.5 ของประเทศ ยกระดับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายสู่ความยั่งยืน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม