น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แฉโกงไร้รอยต่อ เปิดแฟ้ม "ทุจริตข้าว"

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แฉโกงไร้รอยต่อ เปิดแฟ้ม


ร้อนขึ้นมาอีกครั้ง...พลันที่ "ปลัดกระทรวงพาณิชย์" ออกมาจุดประเด็น "ทุบราคา..จำนำข้าว" ที่เตรียมเสนอเข้า ที่ประชุมคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ (กขช.) ใต้ปีกการนำของ "บุญทรง เตริยาภิรมย์" รมว.กระทรวงพาณิชย์ ให้ปรับลดราคารับจำนำข้าวตั้งแต่ฤดูกาลผลิตข้าวนาปรังเดือนเม.ย.-พ.ค. จนเป็น ที่น่าจับตาว่า นี่จะเป็นการเดินหน้าหรือ ถอยไปตั้งหลักเพราะเวลานี้รัฐบาลกำลัง ตุปัดตุเป๋..ต้องเผชิญการไล่ต้อนโดย "ฝ่าย ค้าน" ในปมทุจริตโครงการ "รับจำนำข้าว"...!!!

"น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม" ส.ส. พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ "สยามธุรกิจ" เกี่ยวกับโครงการทุจริตรับจำนำข้าวของรัฐบาล หลังจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ในเรื่องการปลอมปนข้าวหอมมะลิ โดยมีการนำข้าวเน่ามาจัดเก็บในโกดังของรัฐบาล

ต่อประเด็นดังกล่าว "มือปราบทุจริตข้าว" อย่าง น.พ.วรงค์ ได้ระบุถึง ที่มาของปัญหาทุจริตจำนำข้าวว่า ปกติทุกปีก็จะมีข้าวปนเปื้อนเป็นจำนวนมาก อย่างการรับจำนำข้าวหอมมะลิเมื่อปีที่ผ่าน มาก็มีการเอาข้าวหอมจังหวัด หรือข้าวหอมปทุมฯ ไปปนจนกลายเป็นข้าวปนเปื้อน แต่ในปีนี้หนักยิ่งกว่าเดิม เพราะเอาข้าวเน่า เข้ามาแทน ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้รับหลักฐานจากเกษตรกรที่มาร้องเรียน กระทั่งนำไปตั้งกระทู้ถามสดในสภาผู้แทนราษฎร

ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้พยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่าเป็นข้าวเน่าที่มาจากการจัดเก็บ โดยต้องขอย้ำว่าไม่ใช่มาจากการจัดเก็บ แต่เป็นความจงใจที่จะเอาของ เน่ามาส่งในโกดังรัฐบาลตั้งแต่วันแรก แล้ว เอาของดีไปแอบขาย โดยที่ผ่านมาก็ได้นำตัวอย่างข้าวเน่ามาแสดงและกระทู้ถาม นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่า การกระทรวงพาณิชย์ ไปแล้วในสภาฯ เพราะเจตนาของชาวจังหวัดสุรินทร์ที่ร้อง เรียนเข้ามานั้น ก็เพื่อต้องการให้เข้าไปกระตุ้นรัฐบาล ให้รัฐบาลไปตรวจสอบ แล้วเอาจริงเอาจังกับพวกทุจริตโกงชาติ

ยิ่งไปกว่านั้น เกษตรกรเหล่านี้เขามีความรู้สึกว่าข้าวหอมมะลิของจังหวัดสุรินทร์ถือเป็นข้าวพรีเมี่ยม เป็นข้าวที่ดีที่สุดในโลก ราคาก็แพง แต่ปล่อยให้โรงสีบางส่วนมาปู้ยี่ปู้ยำ แทนที่รัฐบาลจะดำเนิน การอย่างจริงจังในการตรวจสอบข้าวเน่า แต่กลับมาเล่นการเมือง พยายามมากล่าว หาพรรคประชาธิปัตย์ว่าลักทรัพย์และเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อกล่าวหารัฐบาล

ส่วนกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขู่จะฟ้องร้องตนเองและพรรคประชาธิปัตย์นั้น ที่ผ่านมาได้มีสื่อมวลชนบางฉบับไปขานรับ แล้วเอาประเด็นไปขึ้นเป็น ข่าวหน้า 1 ซึ่งจากเรื่องที่เกิดขึ้น ตนเองจึงขอท้าให้รัฐบาลดำเนินการฟ้องกล่าวหาในคดี แต่ต้องเคลียร์ในประเด็นให้ชัดว่า จะกล่าวหาว่าลักทรัพย์ หรือปลอมแปลงข้าวคือเอาข้าวนึ่งมาปลอมปนใส่ข้าว หอมมะลิจริงหรือไม่ ก็ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่จากการตรวจสอบพบว่า เป็นเพียงการสร้างข่าวเพื่อกลบเกลื่อน

"ที่ผ่านมานายณัฐวุฒิก็ยังไม่ได้ฟ้องร้อง เป็นแค่การลงบันทึกประจำวันเท่านั้น ไม่ได้มีข้อกล่าวหา ถ้ายังมีประเด็นใดที่สงสัยเราจะได้พิสูจน์กัน และหากรัฐบาลแน่จริงก็ให้ไปพิสูจน์ในโกดังที่สุรินทร์ โดยให้เชิญทั้งสื่อมวลชน และบริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว หรือเซอร์เวเยอร์ เข้าไปตรวจสอบดีเอ็นเอข้าวว่ามีการปลอมปนจริงหรือไม่.."

อย่างไรก็ดี ขอให้รัฐบาลเลิกสร้างภาพ อย่างกรณีที่สหพืชผล อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ที่ภายหลังปรากฏเป็นข่าว รัฐบาลก็เอาคนไปลงพื้นที่ตรวจสอบกันเอง ถ้าจะตรวจกันจริงๆ ก็ขอสุ่มให้เป็นการสุ่มตรวจ เพราะมีโกดังเป้าหมายที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามา แต่ถ้าไปตนจะไม่บอกสถานที่ ไม่อย่างนั้นคงจะมีกองทัพมดขนข้าวเน่าออกไปจนหมด พอเราทวงถามไปยังรัฐบาลก็ไม่ได้รับคำตอบ ยังคงเพิกเฉย และปฏิเสธกลับมาว่าเขาจะไปตรวจสอบเอง

ทั้งนี้ การที่เกษตรกรส่งหลักฐานมา ให้นั้น "น.พ.วรงค์" ย้ำหัวตะปูว่า เป็นการตบหน้ารัฐบาล ซึ่งเขามีกระบวนการในการ เอาข้าวออกมาโดยได้รับความร่วมมือจาก เจ้าหน้าที่รัฐ เป็นการชี้ให้เห็นว่ามีการจัดเก็บข้าวเน่าเป็นจำนวนมาก ทำแม้กระทั่ง บิดเบือนโค้ดสำหรับการจัดเก็บข้าวของโรงสี จงใจไม่ใส่รายละเอียดเพื่อไม่ให้ถูกตรวจสอบได้

ส่วนหลักฐานที่นำออกมานั้น เป็นกระสอบบรรจุข้าวเน่าที่มีรหัสข้างกระสอบ สร 04Ž ที่รัฐบาลอ้างว่า มาจากโรงสี อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นข้าวที่มาจาก อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ และเมื่อครบกำหนด 7 วันตาม ที่ตนเองได้ท้า รัฐบาลกลับเงียบเฉยที่จะลงไปตรวจสอบ ดังนั้นขอแนะนำให้ลงไปตรวจสอบโกดังคลังสินค้าแห่งหนึ่งบริเวณ รอยต่อระหว่าง อ.ปราสาท และ อ.เมือง จ.สุรินทร์ ซึ่งมีนักการเมืองระดับชาตินาม สกุลดังเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะหากลงไปตรวจช้าอาจเกิดไฟไหม้ดังเช่นโกดังอื่นๆ ได้ จึงอยากเรียกร้องไปยังนายบุญทรงว่า "..ท่านหนีไปไหนไม่รอด" และอย่าทำเป็นรัฐมนตรีที่โลกลืม โดยเฉพาะเรื่องข้าวเน่าและการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี เพราะเป็นการเอาคนจนมาอ้างรับรองว่า "ติดคุกแน่นอน.."

ขณะเดียวกัน เมื่อนางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ บอกว่าเป็นข้าวนึ่ง ทางพรรคประชาธิปัตย์ก็ไปตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นข้าวเน่า ซึ่งเป็น การเอาของไม่ดีไปส่งเข้าโกดังรัฐบาล และแน่นอนว่าการออกมาให้ข่าวในทางตรงกันข้าม และนั่นคือที่มาที่ไปของเรื่องข้าว เน่า ซึ่งถ้ารัฐบาลแน่จริงก็ไปตรวจด้วยกัน จะได้พิสูจน์และไม่ต้องมากล่าวหาว่าใครโกหก..!!!

พร้อมกันนี้ "น.พ.วรงค์" ได้ระบุอีกว่า ไม่ใช่แค่ในจังหวัดสุรินทร์เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายจังหวัดที่มีการทุจริต ซึ่งจากตัวเลขการระบายข้าวหอมมะลิที่รัฐบาลประกาศขายเมื่อปี 2555 ทางรัฐบาลได้ประกายขายจำนวน 580,000 ตัน แต่ปรากฏว่ามีพ่อค้าในประเทศมารับซื้อแค่ 57,000 ตัน

แต่ที่หนักกว่านั้นคือ เวลารับจริงๆ มันประมาณ 30,000 กว่าตัน ไม่รับ 20,000 ตัน เท่ากับว่าใน 580,000 ตัน ขายได้จริงๆ คือ 40,000 ตัน หรือประมาณ 7% เท่า กับว่าข้าวส่วนใหญ่ของโครงการปีที่แล้วมีการปนเปื้อน เพราะพ่อค้าเขามีข้อมูล ปกติข้าวหอมมะลิเป็นข้าวที่มีความต้อง การสูงในตลาดโลก แต่ในการประมูลกลับ ขายได้เพียง 40,000 ตัน แล้วที่เหลือก็ยังคาโกดังอยู่

นี่คือโครงการจำนำข้าวที่เอาภาษีของประชาชนปีหนึ่งเป็นจำนวนแสนๆ ล้าน แต่ข้าวที่อยู่ในโกดังรัฐบาลจริงๆ เป็นข้าวเน่า ข้าวปนเปื้อนที่ขายไม่ได้ ที่ประมูลได้ก็ส่วนหนึ่งอย่างที่กล่าวมาแล้ว แต่ข้าวที่ยังจริงใช้ไม่ได้ อันที่เป็นข้าวหอมมะลิดีๆ ก็เอาไปขายจีทูจีแล้ว ส่วนข้าว เน่านี่ก็คงเอาไปทำอะไรไม่ได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนกล้ากินคงต้องเอาไปเป็นอาหารสัตว์ ซึ่งคงได้ราคาไม่เกินกระสอบละ 1,000 บาท แล้วเมื่อรัฐบาลรับซื้อมา 3,600 บาท ก็เท่ากับกำไรไม่รู้กี่เปอร์เซ็นต์แล้ว

เรียกได้ว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ "ทุจริตแบบไร้รอยต่อ" เรียบๆ...เนียนๆ เริ่มตั้งแต่ชาวนาเอาข้าวไปขายโรงสีก็ถูกเอาเปรียบแล้ว ส่วนโรงสีนอกจากจะมีการสวมสิทธิ์แล้วยังเอาข้าวเสื่อมสภาพมา ให้รัฐบาล ส่วนที่รัฐบาลระบายข้าวก็ทุจริต เรื่องจีทูจี..เรียกได้ว่าทุจริตทุกขั้นตอนแบบไร้รอยต่อจริงๆ

ขณะเดียวกันบทบาทของฝ่ายตรวจ สอบนั้น ในความเป็นจริงเราพยายามจะใช้ เวทีสภาฯ ในการตรวจสอบ แต่รัฐบาลชุด นี้ทำหน้าที่เหมือนคนหาย สังเกตดูนายบุญทรง หายไปกับจอทีวีไม่คุยเรื่องข้าว แทนที่จะออกมาชี้แจงตามความเป็นจริง แต่กลับพยายามเลี่ยงไม่ยอมตอบ ไม่ก็ส่งนักโต้วาทีอย่างนายณัฐวุฒิมาตอบ ก็กลาย เป็นการมานั่งเถียงกันเรื่องวัวหายมากกว่า เราเองก็พยายามแล้วแต่รัฐบาลก็เป็นแบบนี้

"ตอนนี้เราพยายามที่จะฟ้องคณะ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ถือว่าคืบหน้า ไปเยอะ แต่กระบวนการของรัฐบาลคือพยายามหนีปัญหา หรือถ้าจะมาว่าผม สร้างหลักฐานเท็จ ก็เอาหลักฐานจริงมาโชว์กันแล้วไปพิสูจน์กันในศาล แต่นี่รัฐบาลไม่ตอบ ไม่ชี้แจง พอจะให้ตั้งกรรมการสอบก็ไม่สอบเรื่องของตัวเอง จะไปสอบย้อนหลัง 3 ปี ไอ้ผล 3 ปี ออก มา แต่ของรัฐบาลเองบอกยังไม่เสร็จ กลับดึงเวลาไปแบบไม่มีการชี้แจง ทำเหมือนจะให้โลกลืม ก็ไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยประเทศนี้ทำไมเป็นแบบนี้"

ในเรื่องของค้าข้าวแบบจีทูจีนั้น "น.พ.วรงค์" ได้ระบุถึงสาระสำคัญของจีทูจี ที่มีอยู่แค่ 2 ข้อก็คือ 1.ซื้อขายระหว่างรัฐต่อรัฐ เช่น รัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน 2. ในการชำระเงินจะต้องเป็นเงินของรัฐบาล ที่เป็นประเทศผู้ซื้อ ในที่นี้เป็นรัฐบาลจีน ก็ต้องเป็นเงินที่มาจากรัฐบาลจีน ซึ่งโดยทั่วไปการชำระเงินระหว่างประเทศต้องผ่าน LC หรือ LETTER OF CREDIT ซึ่ง ในที่นี้นายบุญทรง จะต้องเอาหนังสือสัญญาซื้อขายที่เซ็นโดยรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนมาโชว์ในสภา

ทั้งนี้ เราไม่ได้กังวลเรื่องราคาเป็นเป็นการซื้อขายระหว่างรัฐต่อรัฐ อย่างกรณี ที่อินโดนีเซียเกิดสึนามิเราก็ไม่ได้ขายให้เขาแพงเพราะต้องการช่วยเขาแบบนี้อธิบายได้ ราคาจึงไม่ใช่ปัญหาเพราะเป็น การพึ่งพาอาศัยกัน แต่สัญญาต้องนำมาแสดง เพื่อให้รู้ว่ามีการซื้อขายกันจริง ยิ่งนายบุญทรง เคยบอกว่ามีการเปิด LC กับรัฐบาลต่างประเทศแล้ว ก็เอา LC มาโชว์เลย ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา เวลามีรัฐมนตรีไปต่างประเทศแค่มีการเซ็น MOU กลับมาเขายังมีการแถลงข่าวกันให้รับรู้กันทั้งประเทศ เพราะถือเป็นผลงาน

ต่อข้อถามเรื่องความต่างของจีทูจีกับแบบอื่นๆ นั้น สาระหลักคือ สัญญาต้องมีการแสดงออกมา อีกประเด็นอยู่ที่การชำระเงินจะต้องเป็นเงินจากต่างประเทศ คือประเทศคู่ซื้อและต้องชำระ ผ่าน LC ไม่ใช่ให้คนเข้ามาซื้อเช็คภายในประเทศเป็นช่วงๆ แบบนี้มันไม่ใช่ ก็มีรัฐบาลนี้เท่านั้นที่ทำการซื้อขายแบบจีทูจีแล้วไม่ได้ชำระผ่าน LC คือรัฐบาลเองต้องเอาเอกสารต่างๆ มาแสดงต่อหน้าสาธารณชน ไม่ใช่จะมาบอกว่าเป็นความลับ ขนาดการซื้อขายอาวุธของกองทัพยังต้องมีการเปิดเผย แบบนั้นไม่ยิ่งเป็นความลับกว่าหรือเขายังแสดงหลักฐานได้

ทั้งหมดทั้งปวง ล้วนเป็นมหากาพย์ แห่ง "ทุจริตรับจำนำข้าว" โดย... "กูรูข้าว" อย่าง น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ได้ยกมาเป็นประเด็นสายล่อฟ้า เขย่ารัฐบาลไปแรงๆ...

เหนืออื่นใด ผลพวงจากอีเวนต์ "โกงสะบัดช่อ" ที่ว่ามานี้ ทำให้ "ประเทศ ไทย" สูญเสียตลาดข้าวไปจำนวนมาก เสียทั้งพื้นที่การส่งออกในตลาดโลก ขณะที่ต้องใช้ทุนแบกภาระเก็บข้าวมากมายมหาศาลไว้จากกลไก "ที่ไร้ประสิทธิภาพ" ซึ่งมีการโกงกินกันเป็นขบวนการ ส่วนผลประโยชน์ที่ชาวนาได้มันไม่คุ้มกับการที่เป็นแค่ "เหยื่อ" ที่ถูกชูขึ้นมาบังหน้า..แน่นอนว่ากลุ่มหลักที่ได้ประโยชน์เป็นล่ำเป็นสัน ย่อมเป็นส่วนที่เหนือขึ้นไปจากชาวนา ไล่เรียงตั้งแต่พ่อค้า โรงสี โกดัง บริษัทตรวจสอบข้าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังที่ได้เชื่อมโยงกันเป็นขบวนการ "โกงจำนำข้าว" ...!!!


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ