รูดม่าน "ศึกชิงเมืองกรุง" จบลงได้ไม่ทันไร...พลันเกิดอาฟเตอร์ช็อก เขย่าขึ้นอย่างรุนแรงในมุ้งค่ายเพื่อไทย หลังมีสัญญาณเฉียบพลันส่งมาจาก "คนไกลบ้าน"

แรงถึงขั้น "สไกป์" ด่ากลางวงประชุมทีมยุทธศาสตร์พรรค...โดนกันไปเรียงตัวทั้ง "รัฐมนตรีนกแล" และเหล่า ส.ส.เกียร์ว่าง ที่ไม่รวมพลังกันช่วยนายพลจูดี้ "พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ" จนประสบความพ่ายแพ้ทั้งที่น่าจะชนะ!!

ซึ่งจากความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น ก็ย่อมส่ง "ผลลบ" ต่อภาวะผู้นำของ "นารีปู" น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นอย่างยิ่ง

จนเป็นเหตุที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ในฐานะผู้นำเงาแห่งรัฐนาวา ต้องรีบส่งสัญญาณ "ทางไกล" เข้ามาบัญชา การ "รัฐบาล" และ "พรรคเพื่อไทย" แบบเต็ม 100%

สำหรับปรากฏการณ์ที่สะท้อนการ "กระชับอำนาจ" อย่างเข้มข้นมากขึ้นของคนเป็น "พี่ชาย" บนความพ่ายแพ้ของ "น้องสาว"

โดยสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการเข้ามา "คุมอำนาจ" ในพรรคอย่างเบ็ดเสร็จเด็ด ขาดของ "ทักษิณ" ก็คือการมอบหมายให้คนใกล้ชิดอย่าง "เจ๊หน่อย" คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เข้าไปมีบทบาทใน การ "รื้อโครงสร้างทีมบริหาร กทม." ของพรรคเพื่อไทยใหม่ทั้งหมด

เล็งผ่าตัดใหญ่ทางการเมือง หลังพ่ายแพ้ศึกชิงอำนาจเมืองหลวงให้แก่ "พรรคประชาธิปัตย์"

ว่ากันว่า เป็นการอาศัยช่วงชุลมุนเข้ามา "ชุบมือเปิบ" ดึงอำนาจบริหาร "ทีม กทม." เข้ามาใต้ปีกตัวเองอีกครั้ง แม้จะยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคนโต ในพรรคก็ตามที แต่เป็นความพยายามที่ฉวยจังหวะเล่นไปตามเกมถนัด ของ "เจ้าแม่ กทม."

"สุดารัตน์" ยามนี้จึงเสมือนหนึ่ง "พยัคฆ์ติดปีก" ขณะที่มุ้งการเมืองในค่ายเพื่อไทยก็ยังมี "ความขัดแย้ง" กับ "เจ้าแม่ กทม." อยู่หลากหลายกลุ่ม ซึ่งรวมไปถึง "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกรัฐมนตรี ที่เคยซดเกาเหลาชามโตกันมาตลอด ฉะนั้นการรีเทิร์นของ "สุดารัตน์" จึงถูกจับตามองว่า จะกลายเป็นเหตุที่นำ ไปสู่ความร้าวฉานในพรรคเพื่อไทยอีกไม่ช้านาน

ว่าแล้ว "สุดารัตน์" จึงได้วิเคราะห์ ถึง "ปัจจัย" ที่ทำให้ "พงศพัศ" ประสบความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง

โดยระบุว่า...คนกรุงเทพฯ ที่ออกมาเลือกตั้ง มี 3 กลุ่ม คือกลุ่มแรก "คนรากหญ้า" ซึ่งเป็นฐานเสียงที่เลือกพรรค เพื่อไทยอยู่แล้ว และกลุ่มที่ 2 คือ "คนชั้นกลาง" ที่จะมองถึง "นโยบาย" ว่าจะเลือกใครที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม กลุ่มนี้จะมีเลือกพรรคเพื่อไทยอยู่ด้วย ขณะที่กลุ่มสุดท้ายคือ "กลุ่มคนชั้นกลาง ค่อนไปทางข้างบน" โดยคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มองการเมืองภาพใหญ่ด้วยการเลือกตั้งครั้งนี้ และคนกลุ่มนี้เองที่ออกมา ใช้สิทธิมากกว่าการเลือกตั้งในทุกครั้ง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 30%

"สุดารัตน์" กล่าวย้ำหัวตะปูว่า... ยุทธศาสตร์หาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ในโค้งสุดท้ายถือว่ามีผลการสร้างวาทกรรมว่า "ไร้รอยต่อกับรัฐบาล" จะทำให้ กทม.ถูกกินรวบทั้งประเทศ และทาง ประชาธิปัตย์สามารถนำจุดแข็งของเพื่อไทย เรื่องการทำงานแบบไร้รอยต่อไปสร้างวาทกรรมความกลัวให้กับคน กทม. จนทำให้เปลี่ยนใจมาเลือกประชาธิปัตย์ได้ ซึ่งทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยประเมินกันว่า "วาทกรรมกินรวบประเทศ" ไม่น่าจะดึงคะแนนเสียงได้ แต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้าม

"ยุทธศาสตร์ช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงที่ประชาธิปัตย์ใช้วาทกรรมว่า เพื่อไทยจะกินรวบประเทศ ในส่วนนี้ทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยได้ประเมินแล้วว่าอาจจะแก้เกมในช่วงโค้งสุดท้าย แต่ก็เกรงว่าจะเข้าทางประชาธิ-ปัตย์ แล้วจะกลายเป็นว่าเพื่อไทยมีพฤติกรรมอย่างที่ประชาธิปัตย์กล่าวอ้าง อีกทั้งทีมยุทธศาสตร์ก็ไม่สามารถแก้เกมได้ทันในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้ผลการเลือก ตั้งที่ออกมา ประชาธิปัตย์จึงเป็นฝ่ายชนะ เนื่องจากทำให้คนหวาดกลัว และเชื่อตาม วาทกรรมที่ประชาธิปัตย์กล่าวอ้าง"

ด้วยวิวาทะข้างต้น ได้กลายเป็นมีด โกนอาบยาพิษที่ "สุดารัตน์" ใช้สะกดข่ม "เสี่ยอ้วน" ภูมิธรรม เวชยชัย เลขา ธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าทีมยุทธศาสตร์เลือกตั้ง กทม. จนปรากฏเป็นร่องรอยแห่งความขัดแย้งระหว่างคนบ้านเดียวกัน

หากย้อนกลับไปช่วงก่อนการวางตัว "แคนดิเดต" เข้าไปชิงดำเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ได้เกิดปัญหาขัดแย้งขึ้นภาย ในเพื่อไทยอย่างรุนแรง ระหว่างกลุ่ม กทม. กับมุ้งการเมืองอื่นในพรรค เนื่อง จากไม่มีใครต้องการให้กลุ่ม กทม. ของ "สุดารัตน์" ก้าวขึ้นมาชิงอำนาจ โดยที่หลายฝ่ายปิดประตูไม่สนับสนุนให้กลุ่ม กทม. ส่งชื่อ "สุดารัตน์" ลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. หากแต่เลือกที่จะหันไปสนับสนุน "พงศพัศ" ขึ้นเป็นแคนดิเดตพรรค

จากนั้นกลุ่ม กทม.จึงจำใจเล่นบท "โลว์โปรไฟล์" ทำตามคำสั่งของ "นายใหญ่" ที่ให้ลงมาช่วยกันหาเสียงช่วยผู้สมัครของพรรค ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม...

แต่แล้วหลังวันเลือกตั้ง เมื่อประกาศ ผลออกมาปรากฏว่า "พงศพัศ" พ่ายแพ้ ศึกเลือกตั้งให้กับคนของพรรคประชาธิปัตย์ ทว่าสำหรับกลุ่ม กทม. กลับมิ ได้พ่ายแพ้ตามไปด้วย

"แม่ทัพหญิง" กำลังจะหวนกลับมาผงาดเหนือขั้วอำนาจอื่นอีกครั้ง!!!

และไม่เพียงการกลับคืนสู่บทบาทเจ้าแม่ กทม. ในอีกคำรบหนึ่ง แต่ได้มี กระแสข่าวถึง "คำมั่นสัญญา" จาก "ทักษิณ" ที่ต้องการให้ "สุดารัตน์"

เข้ามาเสียบเก้าอี้รัฐมนตรีในการปรับครม. ปู 4Ž ที่จะมีขึ้นในอีกไม่ช้านาน อันสะท้อนให้เห็นถึงการที่ "ทักษิณ" ต้องการส่งคนใกล้ชิดเข้ามามีบทบาท "กุมอำนาจ" ในพรรคเพื่อไทยมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังการปลดล็อกประชากรบ้าน เลขที่ 111Ž มาเนิ่นนาน ทว่าตัวของ "สุดารัตน์" ยังวางท่าทีและรอคอยโอกาส ที่จะกลับขึ้นสู่ทำเนียบเจ้าแม่ กทม. อยู่ตลอดมา ...!!!

ในอีกด้านหนึ่ง ด้วยสไตล์การแย่งซีนในหลายช็อตการเมืองที่เกิดขึ้น ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความปั่นป่วนที่ถูกเขย่า แรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะความขัดแย้งฉบับ "2 นางสิงห์" ที่ส่อเค้าว่าจะ "รีเทิร์น" กลับมาอีกคำรบ...เพราะระหว่าง "ยิ่งลักษณ์" และ "สุดารัตน์" ก็ดูเหมือน จะเข้ากันไม่ได้อยู่แล้ว

ยิ่งบนความพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งสนามเล็ก "สุดารัตน์" พยายามไล่ตำหนิข้อผิดพลาด โจมตีการทำงานของ ทีมยุทธศาสตร์พรรคมากเท่าใด มันก็ยิ่งเหมือนเป็นการตบหน้านารีปู มากขึ้น เท่านั้น เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ "ยิ่งลักษณ์" ถือได้ว่าเป็น "แม่ทัพใหญ่" รับผิดชอบโดย ตรง และออกหน้าเรียกแขกด้วยตัวเอง

ฉะนั้นรายการขบเหลี่ยม..เฉือนคม! หลังจากนี้ไปคงมีอีกแน่...

บทสรุปในสงคราม "ชิงเมืองกรุง" จึงมิใช่แค่พรรคประชาธิปัตย์ เท่านั้นที่เป็นฝ่ายกุมชัยชนะ เพราะทั้ง "สุดารัตน์" และคนไกลบ้านย่อมสามารถ พลิกกระดาน...กลับมาเป็นฝ่ายชิงความได้เปรียบ "ภายใน" เป็นข้อแลก เปลี่ยนกับความพ่ายแพ้ของ "ยิ่งลักษณ์" และพรรคเพื่อไทย?!!