Toggle navigation
วันพฤหัสบดี ที่ 19 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
วิเคราะห์-บทความ-คอลัมน์
เตือน! เร่งกู้ ระวัง กระทบความเหลื่อมล้ำ
เตือน! เร่งกู้ ระวัง กระทบความเหลื่อมล้ำ
วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556
Tweet
หนี้สาธารณะคือหนี้ซึ่งเกิดจากการกู้ยืมเงินของรัฐบาลเมื่อ รัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายสามารถแบ่งเป็นประเภท ต่างๆ ตามเกณฑ์ในการจำแนกประเภท เช่นการแบ่งตามแหล่งที่มาของเงินกู้ การแบ่งตามระยะ เวลาของการกู้ การแบ่งตามลักษณะหนี้ การแบ่งตามวิธีการก่อหนี้ เป็นต้น
ในการนำเสนอของทีดีอาร์ไอในหัวข้อ "ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2556 และแนวโน้มหนี้สาธารณะ 2556-2560" โดย "ดร.สมชัย จิตสุชน" ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง ชี้ให้เห็นว่าการมีหนี้สาธารณะเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับประเทศที่ยังมีฐานภาษีต่ำและต้องการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม ด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนในระบบความคุ้มครองทางสังคม ระบบสวัสดิการ
แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงมากคือการบริหารหนี้สาธารณะให้มี "พื้นที่การคลัง" (fiscal space) มากพอเพื่อที่จะรองรับความจำเป็นในอนาคตหากมีการขาดดุลเมื่อจำเป็น โดย ดร.สมชัย จิตสุชน ได้เสนอแนวทางการบริหารหนี้ สาธารณะไว้ ดังนี้
เพิ่มรายได้รัฐ (อย่างเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำ) เช่น การจัดระบบภาษีให้มีลักษณะอัตราก้าวหน้า (progressive) และตรงตามหลักความ เสมอภาคทางภาษี และมีการเพิ่มภาษีใหม่ๆ โดยเฉพาะจากฐานทรัพย์สิน
วางแผนการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังใช้จ่ายเพื่อสร้างฐานทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริงในสังคม
บริหารหนี้สาธารณะอย่างโปร่งใสมีการวางแผนระยะปานกลาง ถึงยาว (5 ปีเป็นอย่างน้อย) บริหารภาระ ทางการคลังอย่างเหมาะสม
สำหรับการประมาณการแนวโน้ม หนี้สาธารณะ ต้องทำภายใต้สมมติฐานหลายประการ เช่น อัตราการเพิ่มของรายจ่ายประจำ อัตราดอกเบี้ย การลงทุน ปกติ เป็นต้น นอกจากนี้ได้รวมผลกระทบต่อภาระหนี้สาธารณะที่เกิดจากโครงการพิเศษทั้งด้านรายได้และด้านรายจ่าย ในช่วงปี 2556-2560
จากการประมาณ เห็นว่าหนี้สาธารณะ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกกรณี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในภาวะเศรษฐกิจ "ปกติ" การคลังไทยมีโครงสร้างขาดดุลโดยพื้นฐาน เนื่อง จากรายได้รัฐบาลเพียงสามารถใช้สำหรับรายจ่ายประจำเท่านั้นอีกทั้งการมีโครงการ พิเศษต่างๆ ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งที่รัฐบาลควรระวังเป็นพิเศษคือในกรณีที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำว่า 6% ต่อปี หนี้ต่อรายได้ประชาชาติจะอยู่ในระดับที่เกิน 60% หากไม่มีการควบคุมรายจ่ายและปรับ ลดงบพิเศษลง
ในด้านการบริหารโอกาสและความเสี่ยง ดร.สมชัยเห็นว่า ด้วยตัวเลขหนี้สาธารณะที่ค่อนข้างสูงในระยะปานกลาง ในขณะที่ยังมีความไม่แน่นอนของการขยาย ตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต การบริหารจัดการโอกาสและความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก ทั้งนี้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะในการบริหารโอกาส ดังนี้
รัฐบาลควรลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจ ขยายตัวในระดับสูงกว่าแนวโน้ม ระยะหลัง (ซึ่งอาจจะสูงถึง 6%) การลงทุนดังกล่าวจะช่วยป้องกันไม่ให้แนวโน้มหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเกิน 60%
อย่างไรก็ตาม การจัดการใช้จ่ายในส่วนนี้ควรทำให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด มีการรั่วไหลน้อย และมีการดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว
รัฐบาลควรส่งเสริมมาตรการอื่นๆ เช่น การพัฒนาคน การพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาสถาบันหลักของเศรษฐกิจ เพื่อให้การขยายตัวระดับสูงมีความยั่งยืน ไม่เพียงหวังพึ่งการอัดฉีดลงทุนเท่านั้น อีกทั้งจะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้อย่างแท้จริง
ในด้านการบริหารความเสี่ยง ผู้วิจัยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงและข้อเสนอ แนะต่อการบริหารจัดการความเสี่ยง ดังนี้
สำหรับปัจจัยเสี่ยงระยะสั้น กรณีที่เศรษฐกิจขยายตัวช้าเพียงต่ำกว่าร้อยละ 4-5 จะส่งผลให้หนี้สาธารณะของไทยพุ่งสูงขึ้นมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดมา จากระบบภาษีของไทยที่มีความอ่อนไหว ต่อสภาวะเศรษฐกิจสูง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีปัญหา
อัตราดอกเบี้ยแท้จริงอาจปรับตัวขึ้นในระยะ 2 ปีข้างหน้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งอาจจะส่งผลให้ภาระหนี้และยอดหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนปัจจัยเสี่ยงระยะยาว ยังมีความไม่แน่ชัดว่า ไทยจะหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้หรือไม่ เนื่องจากปัจจัยการผลิตและทรัพยากร มนุษย์และแรงงาน รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานของไทยไม่เอื้อต่อการหลุดพ้นออกจากกับดักดังกล่าว
รัฐบาลยังไม่มีแผนการปรับระบบภาษีอย่างที่ควรเป็น รัฐยังไม่สามารถเพิ่ม รายได้ภาษีจากภาษีบางประเภทได้ เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษี VAT เป็นต้น
การบริหารความเสี่ยงในระยะสั้นควรเป็นการปรับลดการใช้จ่ายที่ไม่จำ เป็นลง ตัวอย่างเช่นหากมีการปรับลดการขาดทุนที่เกิดจากโครงการจำนำข้าว ลงให้เหลือไม่เกินปีละ 70,000 ล้านบาท จะช่วยเพิ่มพื้นที่ทางการคลังเท่ากับประมาณร้อยละ 5 ของรายได้ประชาชาติได้ในระยะเวลา 5 ปี สามารถช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาลไทย อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง
แม้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น ตั้งแต่ฟื้นตัวจากน้ำท่วมใหญ่ รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น แต่การใช้จ่ายรัฐบาลควรมีการสร้าง "พื้นที่ทางการคลัง" เพิ่มขึ้นในระยะ 5 ปีข้างหน้าเพื่อสนับสนุนและรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
ภาษีบุหรี่ ค้างคา "แช่แข็ง" ไม่เดินหน้...
...
อะไรคือ ? โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มา...
...
ttb analytics มองเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็ง...
...
มาตรการ MPOWER เสาหลักกฎหมายควบคุมผลิตภั...
...
“ทักษิณ” พ่อมดการเมือง????...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ