TDRI จับมือ KPIS ดันแก้พ.ร.บ.ประกันสังคมดึงแรงงานเข้าระบบ

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

TDRI จับมือ KPIS ดันแก้พ.ร.บ.ประกันสังคมดึงแรงงานเข้าระบบ


"กฎหมายประกันสังคม" ถึง ณ ขณะนี้ยังถือว่ามีบางส่วนต้องแก้ไขเนื่องจากยังไม่จูงใจพอ ที่จะดึงดูดแรงงานนอกระบบให้เข้าสู่ระบบประกันสังคม รวมถึงไม่นำไปสู่การปฏิรูปที่จำเป็น เพื่อให้ได้ ตัวแทนฝ่ายผู้ประกันตนและฝ่ายนายจ้างที่แท้จริง ตามหลัก ธรรมาภิบาลของระบบประกันสังคม

โครงการวิเคราะห์และติดตามร่างกฎหมาย (ThaiLawWatch) นำเสนอ ข้อเสนอเพื่อแก้ไขปรับปรุงร่างกฎหมายประกันสังคมว่า (1) อย่างน้อยที่สุด รัฐบาล ควรจ่ายเงินสมทบเท่ากับผู้ประกันตนในสิทธิ ขั้นพื้นฐาน (2) ผู้ประกันตนควรมีสิทธิเลือก ตัวแทนฝ่ายผู้ประกันตนโดยตรง (3) ควรมีการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบริหาร จัดการของสำนักงานประกันสังคมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และปรับลดการจัดสรรเงินกองทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหาร สำนักงาน เช่น จากไม่เกินร้อยละ 10 ของ เงินสมทบในแต่ละปี ให้เหลือไม่เกินร้อยละ 5 เป็นต้น และ (4) ควรมีการออกแบบระบบตรวจสอบที่มีธรรมาภิบาล ได้แก่ การ จัดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบ ผู้ตรวจสอบบัญชีและผู้ตรวจสอบภายในที่มีความ เป็นอิสระ และการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ต่างๆ อย่างโปร่งใสต่อสาธารณะ

วีระพงษ์ ประภา นักวิจัยทีดีอาร์ไอ ผู้วิเคราะห์ร่างกฎหมายประกันสังคมชี้ว่า ระบบประกันสังคมในปัจจุบันยังขาดแรงจูงใจให้แรงงานนอกระบบเข้าร่วมระบบประกันสังคมโดยสมัครใจ เนื่องจาก เงินสมทบจากภาครัฐให้แก่ผู้ประกันตนอยู่ในอัตราที่ต่ำ นอกจากนี้ ที่มาและหลัก เกณฑ์ในการแต่งตั้งคณะกรรมการประกัน สังคมในปัจจุบันยังมีลักษณะที่ไม่ครอบ คลุมและส่งผลให้ผู้ประกันตนจำนวนมากขาดตัวแทนที่จะเข้าไปเรียกร้องสิทธิและดำเนินงานเพื่อผลประโยชน์ของผู้ประกันตนอย่างแท้จริง นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายใน การบริหารจัดการสำนักงานประกันสังคม อยู่ในระดับสูง และขาดระบบการตรวจสอบที่มีธรรมาภิบาล

+ รัฐควรสร้างแรงจูงใจในการเข้าสู่ระบบประกันสังคมของแรงงานนอกระบบ

ประเทศไทยมีจำนวนแรงงานนอกระบบอยู่ถึง 24.6 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นแรงงานภาคเกษตรถึง 15.1 ล้านคนซึ่งไม่มีสิทธิเข้าสู่ระบบ เพราะฉะนั้นไทยจึงมีแรงงานนอกระบบที่มีสิทธิเข้าสู่ระบบ ประกันสังคมจำนวน 9.5 ล้านคน แต่ตัวเลขของแรงงานนอกระบบตามมาตรา 40 ที่รายงานโดยสำนักงานประกันสังคมปี พ.ศ.2554 มีเพียง 590,046 คนหรือเพียงร้อยละ 6.21 ของจำนวนแรงงานนอก ระบบที่มีสิทธิเท่านั้น

ในปัจจุบันการสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ผู้ประกันตนสามารถ เลือกชุดสิทธิประโยชน์ได้ 2 ชุดคือ

ชุดสิทธิประโยชน์ที่ 1 : ผู้ประกันตนส่งเงินสมทบรายเดือน 70 บาท รัฐบาล จะสมทบ 30 บาท รวมจ่ายเดือนละ 100 บาท โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ใน 3 กรณีคือ กรณีป่วย/ประสบอันตราย กรณี ทุพพลภาพและกรณีเสียชีวิต

ชุดสิทธิประโยชน์ที่ 2 : ผู้ประกันตนส่งเงินสมทบรายเดือน 100 บาท รัฐบาลจะสมทบ 50 บาท รวมจ่ายเดือนละ 150 บาท โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มจากชุด ที่ 1 อีกหนึ่งกรณีคือ เงินบำเหน็จชราภาพ

จากชุดสิทธิประโยชน์ข้างต้นจะเห็น ได้ว่า รัฐสมทบให้ผู้ประกันตนในสัดส่วนที่น้อย ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับคณะ รัฐมนตรีได้แก้ไขเพิ่มเติมให้รัฐสมทบครึ่งหนึ่งของเงินสมทบจากผู้ประกันตน แต่ยังสร้างแรงจูงใจไม่เพียงพอ ผู้วิเคราะห์เสนอให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบเท่ากับผู้ประ- กันตนในสิทธิพื้นฐานเป็นอย่างน้อย เพื่อสร้างแรงจูงใจที่สูงขึ้น

+ ผู้ประกันตนทั่วประเทศควรมีสิทธิเลือกตั้งตัวแทนผู้ประกันในคณะกรรมการประกันสังคม

จากการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 4 ฉบับ พบว่า ร่าง พ.ร.บ.เหล่านี้มิได้กำหนด ถึงคุณสมบัติและที่มาของผู้แทนฝ่ายนาย จ้างและฝ่ายผู้ประกันตนไว้ชัดเจน เพียงแต่ เพิ่มจำนวนผู้แทนฝ่ายต่างๆ ให้มากขึ้นจาก กฎหมายฉบับเดิมเท่านั้น

งานวิจัยของดร.วรวรรณ ชาญด้วย วิทย์ และดร.อภิชาต สถิตนิรามัย เคยวิเคราะห์ไว้ว่า ตัวแทนของผู้ประกันตนใน คณะกรรมการล้วนมาจากสภาองค์การลูกจ้าง ซึ่งเป็นแค่ตัวแทนของผู้ใช้แรงงานภาคเอกชนไม่เกิน 3 แสนคนหรือร้อยละ 3 ของ ผู้ประกันตนเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ำมากเมื่อเทียบจำนวนผู้ประกันตนอีกกว่า 10 ล้านคนที่ไม่มีตัวแทนในคณะกรรม การเพื่อดูแลผลประโยชน์ของฝ่ายลูกจ้าง

+ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสำนักงาน

มาตรา 24 ของ พ.ร.บ.ประกันสังคมได้กำหนดว่า คณะกรรมการอาจจัดสรรเงิน กองทุนไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินสมทบของแต่ละปีเพื่อจ่ายค่าเบี้ยประชุม เบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก และเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารของสำนักงาน และในกรณีที่เงินกองทุนไม่พอจ่ายให้รัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุน หรือเงินทดรองราชการให้ตามความจำเป็น

ค่าใช้จ่ายในการบริหารสำนักงานอยู่ ในระดับประมาณร้อยละ 3 ของเงินสม ทบเท่านั้น ซึ่งยังต่ำกว่าเพดานขั้นสูงตามกฎหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ 10 ของเงินสมทบอยู่มาก กระนั้น หากพิจารณาถึงยอด ค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า 3 พันล้านบาทต่อปี ก็ยังนับว่าเป็นงบประมาณ การบริหารจัดการองค์กรที่สูงมาก

เมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนของค่าใช้จ่ายในการบริหารสำนักงานต่อค่าใช้จ่าย รวมของกองทุนประกันสังคมของประเทศไทยกับต่างประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา จะพบว่า ประเทศไทยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารสำนักงาน ต่อค่าใช้จ่ายรวมของกองทุนในปี 2553 อยู่ที่ร้อยละ 7.86 และในปี 2554 อยู่ที่ร้อยละ 7.49 ใน ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ร้อยละ 0.80 และร้อยละ 0.90 ตามลำดับ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการกองทุนประกันสังคมของไทยอยู่ใน ระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศสหรัฐ อเมริกา ดังนั้นจึงควรปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการของสำนักงานประกัน สังคมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

บทวิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวยังเสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 24 เพื่อปรับเพดานขั้นสูงในการจัดสรรเงินกองทุน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารสำนักงาน จากไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินสมทบในแต่ละปีให้ต่ำลง เช่น เหลือไม่เกินร้อยละ 5 ของเงินสมทบในแต่ละปี

+ การออกแบบระบบตรวจสอบที่มีธรรมาภิบาล

ระบบประกันสังคมของไทยขาดระบบธรรมาภิบาลและขาดการตรวจสอบ ที่มีประสิทธิภาพทั้งจากภายในและภาย นอกองค์กร ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับบูรณาการแรงงาน ได้เสนอให้มีการแปลงสภาพ สำนักงานประกันสังคมให้เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และอยู่ในกำกับของนายกรัฐมนตรี รวมถึงให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ และเปิดเผยการจัดทำรายงานการเงินตาม มาตรฐานบัญชีที่รับรองทั่วไป แต่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่รับหลักการของร่าง พ.ร.บ. ซึ่งถือเป็นการเสียโอกาสในการปฏิรูประบบและการตรวจสอบของ สำนักงานประกันสังคมในอนาคต

บทวิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ. ของทีดีอาร์ไอ จึงเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรม การตรวจสอบ ผู้ตรวจสอบบัญชีและผู้ตรวจสอบภายในที่มีความรู้ ความสามารถ และมีความเป็นอิสระ โดยคณะกรรมการตรวจสอบควรมีตัวแทนจากนายจ้างและผู้ประกันตน และในส่วนของผู้ตรวจสอบบัญชีและผู้ตรวจสอบภายในควรมีการคัดเลือกจากหน่วยงานที่เป็นอิสระจากสำนักงาน ประกันสังคม เช่น สำนักงานตรวจสอบบัญชีเอกชน เป็นต้น


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ