"ยุทธพงศ์"งัดมาตรการแก้ปัญหายางตกต่ำ

วันพุธที่ 03 กรกฎาคม พ.ศ. 2556



"ยุทธพงศ์" งัดมาตรการแก้ปัญหายางตกต่ำ ผนึก 7 หน่วยงานลงขันรายละ 30 ล้านบาท จัดตั้งกองทุนซื้อขายยางผ่านตลาดซื้อขายล่วงหน้าของ "AFET" คาดว่าจะสามารถรับซื้อยางพาราได้ประมาณ 42,000 ตัน โดยจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายใน ก.ค. 56 นี้
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการแก้ไขปัญหาเสถียรภาพราคายางทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทันทีที่ราคายางเกิดความผันผวนด้านราคาตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ตนได้เรียกประชุมคณะกรรมการบริหาร โครงการฯ เพื่อประชุมวิเคราะห์ปัญหาและหาทางออกในวิกฤตการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อหามาตรการในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง
โดยหนึ่งในมาตรการเร่งด่วนสำคัญที่คณะกรรมการบริหารโครงการฯ หยิบยกมาใช้ในการพยุงราคายางในขณะนี้คือ การส่งเสริมให้กลุ่มผู้ประกอบการส่งออกสินค้า ยางพารารายใหญ่ของประเทศร่วมกับองค์การสวนยาง (อสย.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้าน ยางพาราเข้ามาใช้กลไกการซื้อขายล่วงหน้าของตลาดสินค้าเกษตรกรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ เอเฟต (AFET) เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาและ สร้างราคาอ้างอิงสำหรับการซื้อขายยางพาราในอนาคต
นายยุทธพงศ์ กล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมในการเข้าสู่กลไกซื้อขายสินค้าในตลาดล่วงหน้าด้วยว่า กำหนดให้มีวงเงินวางประกันและสำรองการเผื่อการขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นรายละ 30 ล้านบาท หรือรวมแล้วมีวงเงินรวม 7 รายเป็นเงินทั้งสิ้น 210 ล้านบาท เมื่อรวมกันแล้วจะก่อให้เกิดปริมาณการซื้อขายโดยเฉลี่ยประมาณ 300-400 สัญญาต่อวัน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณซื้อขายปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 300 สัญญาต่อวันแล้ว ถือเป็นปริมาณที่มากพอที่จะก่อให้เกิดผลบวกทางจิตวิทยาและ สร้างความเชื่อมั่นในสภาพคล่องของตลาดและจูงใจให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและนักลงทุนเข้ามาซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางซื้อขาย และเป็นแหล่งอ้างอิงราคายางพารารายสำคัญของโลกในอนาคต ทั้งนี้หากผลักดันให้ราคา อ้างอิงของยางพาราสูงขึ้นก็จะส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น จากปริมาณยางพารา ที่ผลิตได้ประมาณ 3.5 ล้านตัน ราคาที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1 บาท จะก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่ม ขึ้นถึง 35,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
สำหรับความคืบหน้าในที่ 11 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา AFET ได้มีจดหมาย ตอบรับแนวทางดังกล่าวอย่างเป็นทางการ โดยเห็นว่าต้องการพัฒนาศักยภาพของสถาบันเกษตรกรเป็นไปอย่างยั่งยืน อีกทั้งต้องการเปิดโอกาสให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการกำหนดราคาขายยางพาราเอง ที่สำคัญ AFET เห็นว่ามาตรการดังกล่าวจะเป็น การเสริมสร้างกลไกตลาดยางพาราให้มีความครบถ้วนและเชื่อมโยงเข้าด้วยกันอย่างบูรณาการระหว่างตลาดกลางยางพารา ตลาดข้อตกลงและตลาดล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี
"ทาง AFET ได้ยืนยันว่า มาตรการดังกล่าวสามารถกระทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย และไม่ถือเป็นการแทรกแซงราคายางแต่อย่างใด แต่เป็นการซื้อขายผ่านตลาดล่วงหน้า โดยหากมีผู้ขายจากต่างชาติเข้ามาขายยางพารา AFET ก็สามารถควบคุมการซื้อขายได้ และคาดว่าจะสามารถรับซื้อยางพาราได้ประมาณ 42,000 ตัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถปรับราคายางพาราให้เข้าสู่เสถียรภาพให้ได้ที่กิโลกรัมละ 110 บาท โดยจะเร่งดำเนิน การในเรื่องดังกล่าวให้เป็นรูปธรรมภายในเดือนกรกฎาคมนี้" นายยุทธพงศ์ กล่าว 
สำหรับ 7 หน่วยงานที่เข้าร่วมลงทุนในครั้งนี้ ได้แก่ องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) บริษัท ร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ (IRCo) บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) บริษัท ศรีตรัง แอโกร อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทย รับเบอร์ลาเท็คซ์ คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท เซาท์แลนด์ รับเบอร์ จำกัด และ บริษัท วงศ์บัณฑิต จำกัด


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ