นายสมจิตฐิพงศ์ อำนาจศาล ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 3 กรมชลประทาน เป็นประธานในการบรรยายสรุปติดตามความคืบหน้า 4 แผนงานโครงการอาคารบังคับน้ำเร่งด่วน "ท้ายเมืองพิษณุโลก-โคกสลุด-บางไผ่-วังหมาเน่า” เพื่อเป็นเครื่องมือแก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม ลำน้ำน่าน ที่ห้องประชุมสำนักงานชลประทานที่ 3 จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568
นายสมจิตฐิพงศ์ อำนาจศาล กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำในลุ่มน้ำน่านมาอย่างต่อเนื่อง มีแหล่งน้ำที่สำคัญ อาทิเช่น เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนทดน้ำผาจุกและเขื่อนทดน้ำนเรศวร เมื่อรวมกับอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็ก สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ 10,430.25 ล้าน ลบ.ม. และปัจจุบันมีแผนพัฒนาจัดหาแหล่งเก็บกักน้ำในระยะกลาง (ปี 2565-2575) เพิ่มเติมอีก เช่น อ่างเก็บน้ำน้ำปาด (ภูวังผา) อ่างเก็บน้ำน้ำกอน อ่างเก็บน้ำน้ำก้อและอ่างเก็บน้ำน้ำยาว เป็นต้น ซึ่งคาดว่าสามารถมีน้ำกักเก็บเพิ่มได้อีกประมาณ 799 ล้าน ลบ.ม.
กรมชลประทาน จึงมีนโยบายใช้ลำน้ำน่านเป็นแหล่งเก็บกักน้ำ โดยสร้างอาคารบังคับน้ำ 7 แห่ง ประกอบด้วย อาคารบังคับน้ำผาจา ประตูระบายน้ำน้ำปั้ว-ไหล่น่าน ประตูระบายน้ำท้ายเมืองพิษณุโลก ประตูระบายน้ำโคกสลุด ประตูระบายน้ำฆะมัง ประตูระบายน้ำบางไผ่ และ ประตูระบายน้ำวังหมาเน่า โดยในปี 2566-2567 ได้จัดทำแผนหลักการพัฒนาประตูระบายน้ำในลำน้ำน่าน พบว่า มีศักยภาพ จำนวน 7 โครงการ และได้ทำการคัดเลือกโครงการเพื่อศึกษาความเหมาะสมและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้วเสร็จ 2 โครงการ คือ โครงการประตูระบายน้ำน้ำปั้ว-ไหล่น่าน จ.น่าน และ โครงการประตูระบายน้ำฆะมัง จ.พิจิตร ต่อมาในปี พ.ศ. 2567-2568 ได้ศึกษาทบทวนแผนหลักเพิ่มเติมเพื่อศึกษาความเหมาะสม จำนวน 3 โครงการ และศึกษาความเหมาะสมและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเร่งด่วน จำนวน 1 โครงการ
โครงการประตูระบายน้ำท้ายเมืองพิษณุโลก ต.งิ้วงาม อ.เมือง จ.พิษณุโลก เป็นการก่อสร้างอาคารประตูระบายน้ำ คอนกรีตเสริมเหล็กในช่องลัดของลำน้ำน่าน ควบคุมด้วยบานประตูแบบบานตรง 4 บาน กว้างช่องละ 12.50 เมตรสูง 7.50 เมตร และฝายพับได้ 2 ช่อง กว้างช่องละ 15.00 เมตร สูง 4.00 เมตร สามารถกักเก็บน้ำได้ 44.33 ล้าน ลบ.ม. พร้อมทางผ่านปลาตั้งอยู่ทางฝั่งขวา โดยมีพื้นที่รับประโยชน์ด้านเกษตรกรรมสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า 10 แห่ง รวมพื้นที่ 17,762 ไร่
โครงการประตูระบายน้ำโคกสลุด ต.โคกสลุด อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก เป็นการก่อสร้างอาคารประตูระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นลำน้ำน่าน ควบคุมด้วยบานประตูแบบบานตรง 4 บาน กว้างช่องละ 12.50 เมตรสูง 8.50 เมตร และฝายพับได้ 2 ช่อง กว้างช่องละ 15.00 เมตร สูง 4.00 เมตร สามารถกักเก็บน้ำได้ 18.21 ล้าน ลบ.ม. พร้อมอาคารทางผ่านปลาตั้งอยู่ทางฝั่งขวา มีพื้นที่รับประโยชน์ด้านเกษตรกรรมสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า 8 แห่ง รวมพื้นที่ 11,365 ไร่
โครงการประตูระบายน้ำบางไผ่ ต.บางไผ่ อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร เป็นการก่อสร้างอาคารประตูระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นลำน้ำน่าน ควบคุมด้วยบานประตูแบบบานตรง 4 บาน กว้างช่องละ 12.50 เมตรสูง 8.50 เมตร และฝายพับได้ 2 ช่อง กว้างช่องละ 15.00 เมตร สูง 4.00 เมตร สามารถกักเก็บน้ำได้ 37.71 ล้าน ลบ.ม. พร้อมอาคารทางผ่านปลาตั้งอยู่ทางฝั่งขวาและประตูเรือสัญจรตั้งอยู่ทางฝั่งซ้าย มีพื้นที่รับประโยชน์ด้านเกษตรกรรมสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า 24 แห่ง รวมพื้นที่ 54,565 ไร่
โครงการประตูระบายน้ำวังหมาเน่า ต.ทับกฤช อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ เป็นการก่อสร้างอาคารประตูระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กในช่องลัดของลำน้ำน่าน ควบคุมด้วยบานประตูแบบบานตรง 4 บาน กว้างช่องละ 12.50 เมตรสูง 8.50 เมตร และฝายพับได้ 2 ช่อง กว้างช่องละ 15.00 เมตร สูง 4.00 เมตร สามารถกักเก็บน้ำได้ 41.94 ล้าน ลบ.ม. พร้อมอาคารทางผ่านปลาตั้งอยู่ทางฝั่งซ้าย และประตูเรือสัญจรตั้งอยู่ทางฝั่งขวา มีพื้นที่รับประโยชน์ด้านเกษตรกรรมสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า 15 แห่ง รวมพื้นที่ 45,749 ไร่
ก่อนหน้านี้ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ได้มีการปัจฉิมนิเทศโครงการศึกษาความเหมาะสมประตูระบายน้ำท้ายเมืองพิษณุโลก มี นายบุญเหลือ บารมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก รักษาการณ์ผู้ว่าราชการ เป็นประธาน โดยนายบุญุเหลือกล่าวว่า ปัญหาของลำน้ำน่านในพื้นที่ พิษณุโลก คือ หน้าแล้งน้ำน้อย หน้าฝนน้ำท่วม พอน้ำลดก็มีปัญหาตลิ่งพัง พิษณุโลกเป็นเมืองเกษตร ทำนา ทำสวน ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ประมง ถ้าหากน้ำสมบูรณ์ก็เป็นประโยชน์ต่ออาชีพเกษตรกรรม ถ้าน้ำดี ไม่แล้ง ไม่ท่วม ก็ลดความเสี่ยง โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำท้ายเมืองพิษณุโลกจะช่วยแก้ปัญหาทั้งภัยแล้งและท่วมลงได้มาก ถ้าน้ำมากก็ปล่อย น้ำน้อยก็กัก น้ำนั้นเป็นความมั่นคงของชีวิต โดยเฉพาะอาชีพเกษตรกร”
ทั้งนี้เมื่อก่อสร้างประตูระบายน้ำ 4 โครงการแล้วเสร็จ สามารถกักเก็บน้ำในลำน้ำน่านเพิ่มขึ้นอีก 142.19 ล้าน ลบ.ม. สามารถส่งน้ำให้กับพื้นที่ทำการเกษตรสองฝั่งลำน้ำน่านในเขตพิษณุโลก พิจิตรและนครสวรรค์ได้ ประมาณ 129,441 ไร่ เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำ ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ เป็นแหล่งน้ำอุปโภค-บริโภค รักษาระบบนิเวศลำน้ำน่าน สนับสนุนประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต