Toggle navigation
วันอาทิตย์ ที่ 22 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
วิเคราะห์-บทความ-คอลัมน์
กบฏสุเทพเหิมเกริมยึดอำนาจรัฐ-ละเมิดสถาบัน
กบฏสุเทพเหิมเกริมยึดอำนาจรัฐ-ละเมิดสถาบัน
วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556
Tweet
วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร
คำพูดที่ว่า "คนไทยลืมง่าย" ช่างเป็นจริงเหลือเกิน และเป็นสิ่งที่ "เหนือจริง" เอามากๆ เมื่อนำมาอธิบายผ่านม็อบคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ภายใต้การนำของนายสุเทพ เทือก สุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ผู้ต้องหา "กบฏ" ตามหมายจับของศาลอาญา
ลืมง่ายเพราะกบฏสุเทพเมื่อมีอำนาจเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงสมัยพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาลมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
"สุเทพ" เซ็นคำสั่งอนุมัติให้ใช้อาวุธจริงกับผู้ชุมนุมบนท้องถนนเมื่อปี 2553 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 100 คน
ทั้ง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ถูกกล่าวหาในคดีก่อให้คนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล โดยสำนักอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องศาลอาญาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่คนเรือนแสนยังเดินโบกธงชาติ ตามหลังสนับสนุนผู้ถูกกล่าวหาว่า เป็นฆาตกร
ลืมง่ายเพราะสุเทพอ้างเหตุผลว่า ก่อม็อบเพื่อ กำจัดการโกงกินชาติ แต่สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เขาเป็นรัฐมนตรีร่วมอยู่ด้วยกลับถูกกล่าวหาว่า โกงมากมาย โดยเฉพาะก่อสร้างโรงพักทั่วประเทศ มูลค่าเกือบ 6 พันล้านบาท ที่ได้เพียงเสาปูนไว้ดูต่าง หน้าคือ รูปธรรมเด่นชัด
นับประสาอะไรกับ "รัฐบาลประชาชน" ตามที่สุเทพเรียกร้องจะจัดการการโกงได้ หากแต่ "สภาประชาชนและรัฐบาลประชาชน" ตามต้องการ นั้น เขายังไม่อธิบายการ "ตรวจสอบ" ของประชาชนได้เลย
สุเทพกลับเรียกร้องด้วยเสียงอันดังออกจากปากผู้ต้องหาคดีกบฏ เขาให้ประชาชนออกมาไล่คนโกงเป็น "ครั้งสุดท้าย" อยู่ร่ำไป
+ "สุดท้าย" แต่ไม่ท้ายสุด
ถ้านับถึงวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา สุเทพเริ่มก่อม็อบนกหวีด แล้วเปลี่ยนเป็นชื่อ กปปส. มาได้ 41 วันแล้ว เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม เขานัดระดมพลครั้งใหญ่ เคลื่อนกำลังไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล โดยประกาศว่า "สู้เป็นยกสุดท้ายเพื่อชาติ"
ชุดคำพูดที่เขาป่าวประกาศว่า "จบ-ปิดเกม-สุดท้าย" ถูกนำมาปรุงแต่งปลุกพลังม็อบล้มรัฐบาลเสียงข้างมากถี่กระหน่ำขึ้น โดยเชื่อว่า คนออกมามากเข้าไว้นั่นเป็นชัยชนะ
ดังนั้น "ชัยชนะ" ของม็อบกบฏสุเทพจึงซ่อนไว้กับวาทะ "จบ-ปิดเกม-สุดท้าย" โดยมีปัจจัย "คนจำนวนมาก" เป็นเงื่อนไขนำไปสู่สิ่งที่ต้องการ...แต่วันสุดท้ายยังไม่เคยเกิดขึ้นเป็นจริงตามการร้องขอเลย
กบฏสุเทพ ประกาศยกระดับม็อบด้วยการขอแรงสนับสนุนร่วมพลังแบบ "สุดท้าย" มาแล้วนับครั้งได้อย่างน้อย 7 ครั้ง เขาเริ่มเปล่งคำพูด ตามท่วงทำนองอ้อนเมื่อ 17 พฤศจิกายนว่า "นัดชุมนุมยกสุดท้าย 1 ล้านคน มาชุมนุมวันที่ 24 พฤศจิกายน"
จากนั้นคำพูด "ครั้งสุดท้าย" ถูกย้ำเสมอเมื่อมวลชนเริ่มหดหาย และประกาศเมื่อวันที่ 25, 26, 27 พฤศจิกายน ให้มวลชนออกมาปิดเกมไล่รัฐบาล ในวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น... เขาจบเกมไม่ลงและยังไม่มีวันสุดท้ายจริงๆ สักที
กบฏสุเทพ ร้องขอกำลังมวลชนด้วยคำพูดสุดท้ายอีกเมื่อ 3 ธันวาคม ประกาศซ้ำอีกครั้งเมื่อ 6 ธันวาคมว่า ให้มวลชนออกมามากๆ เพื่อปิดเกมกับรัฐบาลในวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา
เมื่อฤกษ์ชัยเคลื่อนมวลชน 9 สายทางเดินเท้าในวันที่ 9 ธันวาคมมาถึง กบฏสุเทพย่อมดีใจ มวลชนเทใจมาร่วมต่อสู้กับเขาเป็น "ยกสุดท้าย" ตามการร้องขอจำนวนมากมาย ฝ่ายม็อบประเมินว่า มีมากถึง 5 ล้านคน แต่สำนักข่าวขึ้นชื่อของต่างประเทศทั้ง CNN, AFP และ BBC รายงานว่า มีมวลชนในระดับ 100,000-150,000 คนเท่านั้น
แต่ยอดจริงๆ มีจำนวนเท่าใดไม่อาจรู้ได้ หาก ประเมินด้วยสายตาคงต้องยอมรับว่า มหาศาลจริงๆ จนทำให้การจราจรทั่ว กทม.เป็นอัมพาต รถติดเป็น ตังเม จอดแน่นิ่งบนถนนนานนับชั่วโมง
กบฏสุเทพบรรลุเป้าหมาย "ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล" ได้ และประกาศเป็น "ชัยชนะของปวงชนชาวไทย" ถึงที่สุด ก็ยังไม่เคยพอกับการร้องขอแบบ "ยกสุดท้าย" เขาให้มวลชนอยู่ต่ออีก 3 วัน เพื่อสะสางกระบวนการแต่งตั้งสภาประชาชน
ตลอดเวลาก่อม็อบกว่า 41 วันคำพูด "ยกสุดท้ายเพื่อปิดเกม" ยังมาไม่ถึง จึงไม่เคยพบกับเป้าหมายสุดท้าย ดังนั้น "สุดท้าย" ของกบฏสุเทพจึงไม่เคยมีจริง อีกทั้งการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลย่อมทำให้เกิดโอกาสไปบรรลุเป้าหมายต้องการได้ยากลำบากเต็มทน
+ แค่ชนะกลเกมยกระดับ
ในปี 2551 ม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยของ "สนธิ ลิ้มทองกุล" ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลชุดนายกรัฐมนตรีชื่อ "สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์" จากพรรคพลังประชาชน นานนับเดือน ยังไม่ชนะ
ในยุคนั้น ความพ่ายแพ้ของพรรคพลังประชาชนมาจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค ต่อมาจึงเกิดรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นในค่ายทหาร ได้อภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2552
ถึงปี 2556 โอกาสชัยชนะแบบเก่ายากจะหวน กลับมาอีก ส่วนสำคัญเป็นเพราะทหารนิ่ง กองทัพเฉย ราวกับเข็ดขยาดกับการเลือกข้างทางการเมือง
คงไม่แปลกใจเลย หากกบฏสุเทพต้องร้องขอพลังสุดท้ายไปเรื่อยๆ แต่วาระสุดท้ายกลับมาถึง "ยิ่งลักษณ์" เร็วขึ้นเมื่อเกิดแรงกดดันจากพรรคประชาธิปัตย์เข้าซ้ำเติมวิกฤติโดย ส.ส.ลาออกยกพรรค มาสนับสนุนเงื่อนไขสุดท้ายจะได้ปิดเกม จบสิ้นทางการเมืองกันเสียที
บัดนี้ สถานการณ์ย้อนกลับมาเหมือนปี 2550 อีกครั้ง "ยิ่งลักษณ์" ยุบสภา เลือกตั้งใหม่จะมีขึ้น 2 กุมภาพันธ์ 2557 สิ่งสำคัญคือ ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์จะลงเลือกตั้งหรือบอยคอตอีกครั้งหรือ ไม่...นี่เป็นสถานการณ์เผชิญหน้ารุนแรงระหว่างมวลชนครั้งใหม่ที่กำลังตั้งเค้าทะมึนขึ้นในอนาคต
หากว่ากันในถึงที่สุดแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ เก่งแต่เกมกดดันทางการเมืองเพื่อให้ได้ชัยชนะในเกมอำนาจ แล้วไปแพ้ในสนามเลือกตั้งอย่างหมด รูปมาตลอด ประวัติศาสตร์บ่งบอกเช่นนั้นมาตั้งปี 2490 และประชาชนตอกย้ำจนกลายเป็นแพ้จำเจมาตลอด
+ ป.ป.ช.แนวร่วมมุมกลับ
หลังนายกรัฐมนตรียุบสภา อนาคตการเมือง จะอยู่ในกำมือของ 3 ฝ่ายทันที คือกบฏสุเทพ พรรคประชาธิปัตย์ และคณะกรรมการป้องกันและปราบ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมีกลุ่มวุฒิสภากับอำนาจ ทหารคอยเป็นผู้แสดงเสริม
สิ่งต้องจับตาคือ พรรคประชาธิปัตย์จะมีท่าที กับการเลือกตั้งใหม่อย่างไร จะบอยคอตเหมือนปี 2550 หรือไม่ แต่ประเมินว่า พรรคนี้คงสลัดตัวออก จากกบฏสุเทพเพื่อลงเลือกตั้งให้ประชาชนตัดสินอนาคตการเมือง
ส่วนท่าทีของกบฏสุเทพ คงไม่จบลงง่ายๆ แม้มีเลือกตั้ง แต่ยังจะลากม็อบไปสู่สถานการณ์ "หยุดเลือกตั้ง" ก่อให้เกิด "สุญญากาศอำนาจ" แล้วเดินไปสู่การตั้งสภาประชาชนที่ไม่ผ่านการเลือกตั้งให้ได้
อย่างไรก็ตาม ทุกความชัดเจนของกบฏสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์ ล้วนมี ป.ป.ช. มากำหนดความได้เปรียบเหนือรัฐบาลทั้งสิ้น โดยเฉพาะการวินิจฉัยถอดถอน 314 ส.ส. กรณีลงมติแก้รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง
หาก ป.ป.ช. ฟันโครมลงมาว่า ข้อกล่าวหามีมูลแล้ว ย่อมทำให้ สภาเกิดสุญญากาศทันที และเป็นโอกาสดีของกบฏ สุเทพคงรุกกระหน่ำบดขยี้ให้ นายกรัฐมนตรีลาออกจาก "รักษาการ"
นอกจากนั้น ถ้าวุฒิสภาลงมติถอดถอนสำเร็จด้วยแล้ว กระบวนการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยย่อมล้มพังลงทันตาเห็น เพราะจะทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยเข้าข่าย "ข้อห้าม" การสมัครรับเลือกตั้งทันที
นั่นแปลความว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ลงเลือกตั้งเท่ากับได้เปรียบมากโข และจะสามารถกวาดชัยชนะได้ทั่วประเทศอย่างแน่นอน รวมทั้งมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งได้สำเร็จด้วย
สิ่งที่กล่าวมานั้น เป็นการประเมินจากกลเกม การเมืองที่เกิดการต่อสู้ระหว่างฝ่ายจารีตประเพณี นิยมกับฝ่ายแนวรัฐธรรมนิยมอย่างพรรคเพื่อไทย
เมื่อเป็นการต่อสู้ ย่อมทำให้ขุมกำลังของฝ่าย จารีตมีโอกาสแสดงพลังสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นท่าทีของ ป.ป.ช.จึงมีโอกาส เล่นเกมถอดถอนในจังหวะเอื้ออำนวยให้ได้
+ กบฏเหิมเกริม
ถ้าประเมินจากเนื้อหาและการประกาศ "ยึดอำนาจรัฐ" ของกบฏสุเทพเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมแล้ว ย่อมสะท้อนถึงปัญหาทั้งมวลจะประเดประดัง เข้าใส่กบฏสุเทพอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน
เพราะแถลงการณ์ ยึดอำนาจรัฐ 6 ข้อนั้น บ่งบอกว่า เขายังทำไม่สำเร็จ แต่ต้องประคองพลังมวลชนให้สนับสนุนมากขึ้น ดังนั้นยกระดับแบบ "สู้ยกสุท้าย" จะทยอยออกมาปลุกพลังเป็นระยะๆ
แต่สิ่งสำคัญคือ กบฏสุเทพจะคลี่คลายปมตั้ง "รัฐบาลประชาชนและสภาประชาชน" ให้เป็นรูปธรรมเพราะแรงเหวี่ยงนี้เริ่มก่อหวอดขึ้นทีละเล็กทีละ น้อย กระทั่งนักวิชาการกว่า 150 คนตั้ง "สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย" ตอบโต้และทำลายความชอบธรรมม็อบคนดีเรื่อยๆ โดยเน้นว่า ขัดรัฐธรรมนูญและต้องการผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จเป็นเผด็จการรุ่นใหม่
ซ้ำร้าย กบฏสุเทพกลับเหิมเกริมด้วยการอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 3 มาก่อกบฏยึดอำนาจอธิปไตย ปวงชนชาวไทยที่มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้ง 47 ล้านคนมาครอบครองเพื่อใช้ประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว
นั่นเท่ากับกบฏสุเทพแย่ง "การใช้" อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยจากพระมหากษัตริย์มา เป็นของตัวเอง นับเป็นการ "ละเมิดอำนาจและยกตนเองเสมอเท่า" เพียงเพื่อต้องการตั้งสภาประชาชนที่ไร้กระบวนการตรวจสอบจากประชาชน
คำถามง่ายๆ คือ กบฏสุเทพอ้างมาตรา 3 ยึด อำนาจรัฐจากใคร? คำตอบตรงนี้ คือ แรงเหวี่ยงที่เริ่มเกิดขึ้นในแวดลงนักวิชาการทั้งรัฐศาสตร์และ นิติศาสตร์มากขึ้นๆ
ดังนั้น สรุปว่าแม้ยุบสภาแล้วก็ตาม แต่เกมยังจะป่วนอยู่ใน 2 ระดับ คือ ม็อบและวุฒิสภาบวก ป.ป.ช.จะเดินเกมไปสู่การให้ระบอบทักษิณพ้นจากการลงสมัครเลือกตั้ง นั่นเท่ากับทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เปรียบ แต่กบฏสุเทพจะเจอปัญหาย้อนกลับ มาเล่นงานความเหิมเกริม บ้าคลั่งอย่างหนักหน่วง
ถึงที่สุด หนทางเลือกตั้งใหม่จึงเป็นทางลงของ กบฏสุเทพอย่างสวยงาม ควรรีบคว้าเอาไว้ ก่อนจะไม่มีการยกระดับครั้งสุดท้าย แต่กลับเป็นจบเกม เบ็ดเสร็จของม็อบตั้งสภาประชาชนที่ผูกขาดอำนาจ อธิปไตยของประชาชนไว้เพียงคนเดียว
นี่เป็นเผด็จการภายใต้เสื้อคลุมการปฏิรูปประเทศไทย ไปสู่อำนาจเบ็ดเสร็จยิ่งกว่าการปกครองของทหารอย่างชัดเจน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
ภาษีบุหรี่ ค้างคา "แช่แข็ง" ไม่เดินหน้...
...
อะไรคือ ? โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มา...
...
ttb analytics มองเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็ง...
...
มาตรการ MPOWER เสาหลักกฎหมายควบคุมผลิตภั...
...
“ทักษิณ” พ่อมดการเมือง????...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ