Toggle navigation
วันอาทิตย์ ที่ 22 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
วิเคราะห์-บทความ-คอลัมน์
โจทย์ใหญ่ คสช.เร่งคืนหนี้ชาวนาแก้ปัญหาปากท้อง
โจทย์ใหญ่ คสช.เร่งคืนหนี้ชาวนาแก้ปัญหาปากท้อง
วันอังคารที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2557
Tweet
สยามธุรกิจวิเคราะห์
ในที่สุดประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็ต้องบันทึกไว้ว่า ประเทศได้มีการทำปฏิวัติ รัฐประหารกันอีกครั้ง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ประกาศยึดอำนาจเมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 22 พฤษภาคม ที่สโมสรทหารบก
การยึดอำนาจดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ประกาศใช้ “กฎอัยการศึก” ไปเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม และวันรุ่งขึ้นได้เรียกให้แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม 2 ม็อบ คือ กปปส. และ นปช.เข้าพบ พร้อมกับ รัฐบาล วุฒิสภา พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วัตถุประสงค์ที่บ่งบอกคือ ต้องการหารือแก้ไขวิกฤติ!
การหารือวันที่ 21 พฤษภาคม จบลงด้วยโดยทั้งหมดยังตกลงกันไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์จึงนัดหารืออีกวันคือวันที่ 22 พฤษภาคม
การเจรจายังไม่สามารถหาข้อยุติได้อีก และแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยุติความขัดแย้งด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า เมื่อตกลงกันไม่ได้ “ผมก็ขอยึดอำนาจ” โดย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็น หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แล้วพล.อ.ประยุทธ์ ได้แถลงต่อหน้าสื่อมวลชนครั้งแรกภายหลังทำการยึดอำนาจ โดยระบุว่า ตนได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพัน โดยหลังจากนี้จะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด การรับสนองพระบรมราชโองการ ถือเป็นการทำตามเจตนารมณ์เป็นการทำตามประเพณี ที่ปฏิบัติมาทุกครั้ง ทั้งในยามปกติและไม่ปกติ เป็นการบริหารราชการใต้พระบรมราชโองการ และเป็นไปตามกฎหมาย โดยหลังจากนี้จะระมัดระวังการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่
พร้อมกันนี้ก็ได้ประกาศ “โรดแม็ป” ในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยจะประกาศใช้ “ธรรมนูญการปกครองชั่วคราว” จัดตั้ง นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อบริหารประเทศ ควบคู่ไปกับการจัดตั้ง สภาปฏิรูป เพื่อปฏิรูปประเทศ และ สภานิติบัญญัติ เพื่อดูแลเรื่องกฎหมาย
ที่สำคัญคือ จะจัดให้มีการเลือกตั้ง เมื่อเวลาเหมาะสม!!
ในส่วนของการดำเนินการ ด้านเศรษฐกิจ จะดำเนินการตามนโยบายเศรษฐกิจเสรีตามปกติ โดย 1.ให้มีการเคลื่อนย้าย เงินทุนเข้าออกอย่างเสรี, 2.ส่งเสริมนโยบายการค้าเสรี และเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนทั้งด้านการค้า การผลิต และบริการ, 3.ขจัดอุปสรรคของการค้าระหว่างประเทศเพื่อรองรับ AEC และการขยายตัวของตลาดโลก, 4.ส่งเสริมการลงทุนในประเทศรวมทั้งการลงทุนของเอกชนไทยในต่างประเทศ, 5.ลงทุนเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในโครงการที่เหมาะสมและไม่มีข้อกังขา และ 6.ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน
นอกจากนี้ คสช.ได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนทางด้านเศรษฐกิจคือแก้ไขปัญหา “หนี้ค้างชำระ” แก่ชาวนาใน “โครงการจำนำข้าว” 8 แสนราย 9.2 หมื่นล้านบาท รวมทั้งเร่งแก้ไขปัญหาการขอใบอนุญาตโรงงานอุตสาหกรรมที่ล่าช้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน เร่งการเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2557 ที่ยังค้างท่อซึ่งขณะนี้มีอยู่จำนวนประมาณ 7 พันล้านบาท พร้อมทั้งเริ่มกระบวนการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ระบบรถไฟรางคู่ และรถไฟฟ้าสายต่างๆ ในเขตกทม.และปริมณฑล ที่สำคัญคือเร่งจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2558 ให้แล้วเสร็จก่อนเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้ทันเบิกใช้วันแรกของปีงบฯ คือ 1 ตุลาคม 2557
ความท้าทายทางด้านเศรษฐกิจ จึงนับเป็นหนึ่งในภารกิจที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้า คสช.จะต้องเข้ามาดูแลนอกเหนือจากงานทางด้านความมั่นคง และดูเหมือนพล.อ.ประยุทธ์ก็จะล่วงรู้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ในการพบปะพูดคุยกับหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง และระดับอธิบดี ที่เข้ารายงานตัวเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ในช่วงหนึ่งมีการหยิบยกปัญหาเศรษฐกิจปากท้องชาวบ้านและปัญหาชาวนายังไม่ได้รับเงินจากโครงการรับจำนำข้าวขึ้นมาพูดคุย
โดยถือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องเข้าไปแก้ไขอย่างเร็วที่สุดพร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจไปหามาตรการลดปัญหาค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ทั้งเรื่องสร้างรายได้และเพิ่มอาชีพ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา คสช. ได้เห็นชอบให้กระทรวงการคลังกู้เงินจากสถาบันการเงิน ทั้งจากภาครัฐ-เอกชน จำนวนเงินทั้งสิ้น 50,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการรับจำนำข้าว
นอกจากนี้ ยังมีการเร่งฟื้นฟูความมั่นใจนักลงทุนด้วยการประกาศเดินหน้าหลังจากอนุมัติจ่ายเงินโครงการรับจำนำข้าวไปแล้ว คสช. เตรียมทำอีกหลายโครงการ ทั้งโครงการน้ำ 3.5 แสนล้าน โครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน
ขณะที่ 7 องค์กรภาคเอกชน หารือถึงแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยกำหนดกรอบทั้งระยะสั้น และระยะยาว โดยแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืนมีอยู่ 6 แนวทางด้วยกัน คือ ปฏิรูปกรอบการลงทุนของภาครัฐและเอกชน การยกระดับการศึกษาและนวัตกรรม การแก้ไขปัญหาสังคมและความเหลื่อมล้ำ ธรรมาภิบาล และแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น การพัฒนากฎระเบียบต่างๆ ของภาครัฐ และการพัฒนาโครงสร้างใหม่ในระบบเศรษฐกิจ โดยภาคเอกชนพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นในไทย และพร้อมร่วมปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ
อย่างไรก็ตาม วันนี้ยังมีคำถามที่หลายคนยังสงสัยคือ พล.อ.ประยุทธ์และกองทัพจะบริหารประเทศไทยซึ่งเคยมีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดก่อนจะชะงักเพราะความขัดแย้งทางการเมืองให้กลับมาเติบโตเหมือนเช่นในอดีตได้อย่างไร!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
ภาษีบุหรี่ ค้างคา "แช่แข็ง" ไม่เดินหน้...
...
อะไรคือ ? โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มา...
...
ttb analytics มองเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็ง...
...
มาตรการ MPOWER เสาหลักกฎหมายควบคุมผลิตภั...
...
“ทักษิณ” พ่อมดการเมือง????...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ