วิกฤติซีเรีย...ฤาจะขยายวงกว้างเป็นสงครามใหญ่!

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิกฤติซีเรีย...ฤาจะขยายวงกว้างเป็นสงครามใหญ่!


ขณะที่โลกกำลังตื่นตะลึงกับสถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศอียิปต์ เมื่อฝ่ายกองทัพลงมือปราบปรามผู้ประท้วงที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดี เมอร์ซีด้วยความรุนแรง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตนับพันราย ขณะที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลประกาศจะต่อสู้กับรัฐบาลในรูปแบบการสู้รบใต้ดินต่อไป สถานการณ์ด้านซีเรียกลับมาเป็นข่าวดังอีกครั้งเมื่อมีการรายงานว่า มีการ ใช้สารเคมีในการสู้รบระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายต่อต้าน

ด้วยกระแสการฟื้นฟูและการตื่นตัว ของโลกอิสลาม เมื่อเดือนธันวาคม 2010 การประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ได้เริ่มขึ้น ที่ประเทศตูนีเซีย ภายหลังได้แพร่กระจาย ไปทั่วโลกอาหรับ นำมาซึ่งการโค่นล้มทรราช และการแทนที่ด้วยรัฐบาลที่มีอุดมการณ์อิสลามของหลายประเทศ เช่น ตูนีเซีย โมร็อกโก อียิปต์ และลิเบีย เป็นที่รู้จักกันในชื่อปรากฏการณ์อาหรับสปริง (Arab Spring) ซึ่งรวมถึงประเทศซีเรีย

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 เมื่อประชาชน ได้เริ่มออกมาประท้วงโดยสงบ โดยต้องการ เพียงให้รัฐบาลทำการปฏิรูปทางการเมือง แต่รัฐบาลของ "บาชาร์ อัล-อัสซาด" (Bashar al-Assard) กลับใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุมและผู้เคลื่อนไหวต่อต้าน รัฐบาลอย่างโหดเหี้ยมมาโดยตลอด การปราบปรามประชาชนอย่างโหดเหี้ยมและรุนแรงในครั้งนี้แทนที่จะทำให้ประชาชนชาว ซีเรียหวาดกลัวและไม่กล้าออกมาต่อต้านรัฐบาลกลับให้ผลตรงกันข้ามประชาชนชาวซีเรียตามเมืองต่างๆ ทั่วประเทศต่างออกมาประท้วงกันมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลเพิ่ม ระดับความรุนแรงในการปราบปรามผู้ชุมนุม จนกระทั่งเริ่มมีทหารของรัฐบาลที่รับไม่ได้กับการสั่งฆ่าประชาชนเริ่มแปรพักตร์มาช่วย ปกป้องประชาชน และได้ก่อตัวขึ้นเป็นกอง กำลังซีเรียเสรี (Free Syrian Army) ในภายหลัง

มีการวิเคราะห์กันว่า ลำพังความกระหายอำนาจของ บาชาร์ อัล-อัสซาด เพียงอย่างเดียวนั้นคงไม่สามารถทำให้เขาอยู่ในอำนาจและเข่นฆ่าประชาชนชาวซีเรีย มาได้นานขนาดนี้ หากปราศจากการสนับสนุน จากรัสเซียและจีนผู้ใช้สิทธิ์ยับยั้ง (วีโต้) ทุกครั้งที่มีการออกความเห็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางการทหารใดๆ ต่อประเทศ ซีเรียในสหประชาชาติ และรัสเซียยังได้ทำ การส่งอาวุธให้ประเทศซีเรียอยู่อย่างต่อเนื่อง

ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาดกับฝ่ายต่อต้านที่ดำเนินมากกว่า 2 ปียังดำเนินต่อไป ข้อมูลบางแหล่งอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 8 หมื่นคน ขณะที่ทางสหรัฐฯ และรัสเซีย กำลังร่วมมือหาทางออกด้วยการเจรจาอีกครั้ง ในขณะเดียวกันกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) เพิ่งประกาศยกเลิกการคว่ำบาตร เรื่องการขายหรือส่งมอบอาวุธแก่ฝ่ายต่อ-ต้าน ไม่ทันที่ชาติสมาชิกอียูจะเริ่มส่งมอบอาวุธแก่ฝ่ายต่อต้าน รัฐบาลรัสเซียก็ออกมา ประกาศว่าอาจขายขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานที่มีสมรรถนะสูงแก่รัฐบาลซีเรีย

ล่าสุดโลกต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อมีการเผยแพร่ข่าวระบุว่า มีการใช้อาวุธเคมีในการสู้รบครั้งนี้ โดยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่อีกครั้ง จากเหตุสงครามกลางเมือง ที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 29 เดือน ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและกลุ่มผู้ต่อต้านประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย เมื่อเครื่องบินของกองทัพซีเรียทิ้ง ระเบิดในเมืองกัวตาห์ ชานกรุงดามัสกัส โดย กลุ่มสัมพันธมิตรซีเรียแจ้งว่า ระเบิดดังกล่าว เป็นอาวุธเคมี ซึ่งอาจเป็นแก๊สซาริน ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 650 ราย พร้อมเผยภาพศพที่นอนเกลื่อนกลาดโดยเป็นเด็กจำนวนมาก ขณะที่นายจอร์จ ซาบรา กลุ่มแกนนำผู้นำฝ่ายค้านแถลงว่า ยอดผู้เสียชีวิตสูงถึง 1,300 ราย

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ทุกฝ่ายโดยเฉพาะ องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ออกมา เรียกร้องให้รัฐบาลบาร์ชา อัล-อัสซาด เปิด ทางให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีของยูเอ็นเข้าไปตรวจสอบ หลังจากนั้นอีก 4 วัน ทางการซีเรียได้อนุญาตให้คณะผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติเดินทางลงพื้นที่ต่างๆ ใน อีสเทิร์นโกตาและโมอามิเยต อัล-ชาม รอบนอกกรุงดามัสกัสเพื่อดำเนินการสืบสวน

ล่าสุด คณะตรวจสอบของสหประชาชาติ ออกเดินทางไปปฏิบัติงานเมื่อวันที่ 26 ส.ค. ในพื้นที่ชานกรุงดามัสกัสซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีการใช้อาวุธเคมีโดยใช้รถ 6 คัน ลำเลียงคณะผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธของสหประชาชาติ เดินทางออกจากโรงแรมที่พักกลางกรุงดามัสกัสเมื่อวันที่ 26 ส.ค.โดยมีรถของ กองกำลังรักษาความปลอดภัยและรถพยาบาลร่วมขบวน จุดหมายคือเขตกูตา ชานเมืองด้านตะวันออกของกรุงดามัสกัสซึ่งเป็นพื้นที่ยึดครองของกบฏซีเรียที่นักเคลื่อนไหวระบุว่า ถูกโจมตีด้วยจรวดติดอาวุธเคมีเมื่อวันที่ 21 ส.ค.

ทั้งนี้ ระหว่างการเดินทางลงพื้นที่ของ คณะผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติ มีรายงานว่าคณะของสหประชาชาติถูกพลแม่นปืนไม่ทราบฝ่ายดักยิงขบวนรถยนต์ ซึ่งรถคันหนึ่งถูกยิงหลายนัด อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยูเอ็นเผยในเวลาต่อมาว่าหลังจาก ขบวนรถต้องเดินทางกลับมาตั้งหลักช่วงสั้นๆ ก่อนเข้าถึงโรงพยาบาลสนามซึ่งดูแลรักษาเหยื่อโจมตีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นผลสำเร็จ

ขณะที่นายบาร์ชา อัล-อัสซาดได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์รัสเซียปฏิเสธข้อกล่าวหาใดๆ ที่ว่ารัฐบาลของเขาอยู่เบื้องหลัง การโจมตี โดยบอกว่าคำกล่าวหาเหล่านั้นละเมิดต่อความสมเหตุสมผล

อย่างไรก็ตาม แม้ที่สุดรัฐบาลซีเรียยอมให้คณะเจ้าหน้าที่ของยูเอ็นเข้าตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว แต่สหรัฐฯ และฝ่ายตะวันตกก็ออกมาระบุว่า เป็นการสายเกินไป เนื่องจากช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทัพ ของประธานาธิบดีอัสซาด ได้ถล่มพื้นที่ ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเพื่อทำลายหลักฐาน ทั้งนี้มหาอำนาจตะวันตกแสดงท่าทีโน้มเอียง มากขึ้นในการใช้กำลังลงโทษรัฐบาลซีเรียโดยไม่รอฉันทามติจากคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น

ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์มองว่า เวลานี้นานาชาติยังคงมีความเห็นแตกแยกเกี่ยวกับแนวทางจัดการกับวิกฤติซีเรีย โดย ที่ก่อนหน้านี้รัสเซียกับจีนได้ใช้สิทธิ์ยับยั้งมติเกี่ยวกับซีเรียของฝ่ายตะวันตกในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นมาหลายครั้งแล้ว

โดยรัฐบาลโอบามาปักใจเชื่อว่ารัฐบาลอัสซาดใช้อาวุธเคมี ซึ่งอ้างอิงหลัก-ฐานที่ปรากฏจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมเพียงจุดเดียว สรุปรวบรัดว่าระบอบ อัสซาดคือผู้ใช้อาวุธเคมี ดังนั้น ต้องได้รับการลงโทษเพื่อล่วงล้ำเส้นต้องห้าม (red line) โดยไม่รอผลการตรวจสอบจากสหประชาชาติ เนื่องจากภารกิจของเจ้าหน้าที่ สหประชาชาติคือตรวจสอบว่ามีการใช้อาวุธ เคมีจริงหรือไม่ แต่จะไม่สรุปว่าใครหรือฝ่าย ใดเป็นผู้ใช้ ดังนั้น หากยึดแนวทางสหประชาชาติจะยังไม่ได้ข้อสรุปว่าใครเป็นผู้ใช้ อาวุธเคมี แต่ ณ ขณะนี้รัฐบาลโอบามาอาศัยหลักฐานการใช้เมื่อวันที่ 21 สรุป ฟันธงด้วยตัวเองว่ารัฐบาลซีเรียเป็นผู้ใช้ โดย ไม่รอข้อสรุปจากสหประชาชาติ

นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าสหรัฐฯ จะ ลงมือโจมตีทันทีที่เจ้าหน้าที่สหประชาชาติ เดินทางออกจากซีเรีย สอดคล้องกับคำพูดของนายจอห์น เคอร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศ ของสหรัฐฯ ที่ชี้ว่าจากหลักฐานเท่าที่มี ไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ใดๆ อีก ซึ่งเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลชี้ว่า ประธานาธิบดีโอบามากำลังพิจารณาโจมตีซีเรียแบบจำกัด ขอบเขตและจำกัดระยะเวลา เพื่อลงโทษที่รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมี การโจมตีอาจกินเวลาไม่เกินสองวัน โดยใช้จรวดร่อนทั้งจาก เรือรบและจากเครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตี ที่ตั้งทางทหารซึ่งอาจไม่เกี่ยวข้องกับคลังเก็บอาวุธเคมี

ด้านประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด เตือนอเมริกา เตรียมตัวพบความล้มเหลวเช่นเดียวกับสงครามทุกครั้งที่วอชิงตันเปิดฉาก อัสซาด ชี้ว่า ความช่วยเหลือด้านการ ทหารจากรัสเซียช่วยให้รัฐบาลดามัสกัสยังสามารถต้านทานแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติได้ โดยมีการทำสัญญากับบริษัทของรัสเซียซึ่งจะจัดส่ง "สินค้าพื้นฐาน" ที่จำเป็นต่อความอยู่รอดให้กับซีเรีย

ขณะที่พันธมิตรใกล้ชิดกับรัฐบาลดามัสกัสอย่างอิหร่านที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมชีอะห์ ก็ได้ออกมาเตือนสหรัฐฯและชาติตะวันตกว่า การส่งทหารต่างชาติเข้าแทรกแซงในซีเรียจะนำไปสู่ความขัดแย้งและผลกระทบที่ร้ายแรงขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค เนื่องจากอิหร่านพร้อมที่จะช่วยปกป้องรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรีย หากถูกโจมตี

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซีเรียจะกลาย เป็นต้นเหตุทำให้เกิดสงครามขยายเป็นวงกว้างในตะวันออกกลางหรือไม่นั้น ก็ขึ้น อยู่กับการตัดสินใจของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ว่าจะใช้อำนาจที่มีส่งทหาร เข้าแทรกแซงในซีเรียหรือไม่ รวมทั้งมหามิตรของซีเรีย อย่างรัสเซียจะออกมาเคลื่อนไหวอย่างไร หากสหรัฐฯ ส่งกำลัง โจมตีซีเรียโดยที่ไม่ได้มาจากมติของยูเอ็น... โลกกำลังจับตาแบบไม่กะพริบ!!


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ