เขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนมบูม
สภาอุตฯ เผยขนส่งผ่านแดนโตกว่า 25%

วันอังคารที่ 07 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนมบูม <br> สภาอุตฯ เผยขนส่งผ่านแดนโตกว่า 25%


ปัจจุบันการขนส่งและโลจิสติกส์จังหวัดนครพนมเติบโตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 20-25% สำหรับสินค้าที่ส่งออกมากสุด คือ ผลไม้ไทย เนื่องจากเป็นที่นิยมของชาวจีนมาก ส่งผลให้การค้าขายบริเวณระเบียงเศรษฐกิจ GMS ไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน คึกคักตามไปด้วย

นายวัชรินทร์ เจียวิริยบุญญา ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า เรื่องผลไม้จะเป็นปัจจัยหลักในการทำให้ภาคขนส่งและโลจิสติกส์ของจังหวัดนครพนมเติบโตขึ้น เพราะว่าประเทศจีนมีการสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่า ผลไม้ของไทยเป็นที่นิยมในจีนมาก เพราะมีรสชาติดี อร่อย ถูกสุขลักษณะ และจีนไม่สามารถปลูกได้ ไม่ว่าจะเป็นทุเรียน ลำไย และอื่น ๆ เป็นต้น ส่งผลให้ยอดส่งออกของไทยผ่านเขตชายแดนจังหวัดนครพนมเติบโตขึ้นมากถึง 20-25% หรือคิดเป็นรายได้สูงถึง 1.6 แสนล้านบาท/ปี

และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางผู้บริหารจีนระดับมณฑล ได้เดินทางเข้ามาที่จังหวัดนครพนม เพื่อหารือเกี่ยวกับการซื้อ-ขายสินค้าผ่านแดน ซึ่งถือเป็นรอบแรกที่ประเทศจีนได้เข้ามาติดต่อ และรอบที่สองก็จะมีหัวหน้าหน่วยงาน จากกระทรวงพาณิชย์ เดินทางเข้ามาร่วมเจรจา และเข้ามาด้วยรถยนต์ แม้ว่าจะใช้เวลาเดินทางนานแต่ก็เห็นถึงความตั้งใจจริงและมีเป้าหมายชัดเจนที่จะเข้ามาติดต่อค้าขายกับประเทศไทย และรอบที่สามจะชัดขึ้นไปอีก เพราะระดับหัวหน้าแผนกในเขตเศรษฐกิจพิเศษอ่าวเป่ยปู้ กว่างซี (อ่าวตังเกี๋ย) คือ ผู้อำนวยการด้านการลงทุนระหว่างประเทศ นั่นก็หมายความว่า ประเทศไทยคือเป้าหมายยุทธศาสตร์ในการเข้าออกอย่างแน่ชัด

หนุนยุทธศาสตร์บ 4 ด้านเชื่อมจีน

ดังนั้น ทางจังหวัดนครพนม จึงต้องมียุทธศาสตร์ 4 ด้าน เพื่อรองรับกับการเติบโตนี้ โดยยุทธศาตร์ที่ 1 คือ ทางบก ซึ่งทางบกนั้นไม่เป็นปัญหา เพราะจังหวัดนครพนม เป็นเส้นทางเชื่อมต่อไปยังจีนสั้นที่สุด สามารถลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการขนส่งได้

ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือ ทางน้ำ เพราะประเทศจีนมีการขนส่งที่หนาแน่น ทางการจีนจึงหันไปลงทุนที่เขตเศรษฐกิจพิเศษอ่าวเป่ยปู้ ซึ่งเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุด เพื่อเป็นทางเลือกในการหนีเส้นทางการจราจรที่ติดขัด ซึ่งจะตอบโจทย์ไปยังท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือแหลมฉบังก็จะเป็นทางเลือกที่ดีขึ้น เพราะเป็นที่ทราบดีกว่า การเดินทางจากภาคอีสานไปยังท่าเรือแหลมฉบัง มีระยะทางกว่า 700 กม. ซึ่งไกลกว่าการวิ่งไปยังเวียดนาม ซึ่งมีระยะทางไปท่าเรือหวุ๋นอ๋าง (Vung Ang) เพียงแค่ 280 กม. ซึ่งจะเป็นประตูที่ใกล้ภาคอีสานมากที่สุด และสามารถเชื่อมไปยังท่าเรืออ่าวเป่ยปู้ได้เลย และผู้ประกอบการลงทุนเรื่องการขนส่งต่ำที่สุด เพราะไม่ต้องใช้เส้นทางวิ่งอ้อมและสามารถลดเวลาการเดินทางได้มากถึง 10 วัน ซึ่งจะช่วยให้ลดเวลาและต้นทุนด้านโลจิสติกส์ได้เป็นอย่างดี

ยุทธศาสตร์ที่ 3 คือ ระบบราง เพราะในปี 2564 จังหวัดนครพนม ก็จะมีรถไฟทางคู่ ซึ่งจะตอบโจทย์ในด้านโลจิสติกส์เป็นอย่างมาก เพราะจะสามารถเชื่อมไปยังท่าเรือแหลมฉบัง ไปประเทศมาเลเซีย ด้วยต้นทุนที่ถูกลงไปอีกด้วย

และยุทธศาสตร์ที่ 4 คือ การบิน โดยปัจจุบันนี้ มีสายการบินมาลงที่จังหวัดนครพนม 4 สายการบิน ซึ่งเที่ยวบินเต็มทุกวัน และจะมีมาเพิ่มอีก 1 สายการบินในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะทำให้ด้านการบินจังหวัดนครพนม เป็นฮับการบินทางภาคอีสานได้ และถ้าหากทำให้สนามบินนครพนมเป็นสนามบินนานาชาติได้ จะส่งผลดีมากเพราะสามารถบินตรงไปยังเวียนนามและจีนได้ ทั้งนี้ ยังสามารถแบ่งเบาภาระสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองให้ลดความแออัดลงไปได้อีกด้วย

หลังจากท่านรองนายกรัฐมนตรี “ประจิน จั่นตอง” ลงพื้นที่ทำพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารเครื่องช่วยฝึกบินจำลอง Full Flight Simulators ณ สนามบินนครพนม เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2561 ที่ผ่านมา พร้อมให้นโยบายในการผลักดันให้สนามบินนครพนม เป็นศูนย์กลางการบินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะการที่ผู้บริหารจีนนั่งรถเข้ามาหาเรา โดยใช้เวลาการเดินทาง 3 วัน 2 คืน จะรู้สึกอ่อนล้ามาก แต่ถ้าสามารถบินตรงมายังนครพนมได้ ภาพการบริหารงานและภาพของธุรกิจก็จะเติบโตมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถติดต่อค้าขายกันได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การเชื่อมโยงกับจีนให้ดี เศรษฐกิจไทยจะได้ ความมั่นคงก็ได้เช่นกัน

ผลักดันจดทะเบียนรถใหญ่ในพื้นที่

ในส่วนของการผลักดันให้ภาคการขนส่งมีการจดทะเบียนในจังหวัดนครพนม เพื่อแสดงศักยภาพและตอบโจทย์ด้านความเจริญเติบโต เพราะสถิติและจำนวนรถขนส่งจะทำให้เห็นว่า ภายในจังหวัดนครพนมมียอดจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น เพราะถ้าหากปริมาณจำนวนรถที่วิ่งในจังหวัดมีเพิ่มขี้น เงินที่เสียค่าทะเบียนรถ จะนำมาบำรุงท้องถิ่น และงบประมาณแผ่นดินจะได้มีสัดส่วนคืนกลับมาพัฒนาหรือซ่อมแซมถนนในพื้นที่ที่ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง

สำหรับการจดทะเบียนรถบรรทุกสแกนเนีย 20 คัน ที่ บริษัท เจ แอนด์ เค โลจิสติกส์ (2014) จำกัด จัดซื้อเข้ามาเพื่อขนส่งผลไม้นั้น ถือเป็นการสตาร์ทอัพ (Startup) ที่ดี เพราะการรุกตลาดในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนมของค่ายสแกนเนีย และค่าย Panus ครั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจและโลจิสติกส์จังหวัดนครพนมมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด และการขนส่งสินค้าผ่านแดนไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม-จีน มีระยะทางสั้นที่สุด รวมทั้งเป็นการสนองนโยบายการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษ การเชื่อมโยงเป็นศูนย์กลางการขนส่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สู่ระเบียงเศรษฐกิจ GMS ไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน ของภาครัฐ

ขนส่งฯ หนุนจดทะเบียนนำเงินซ่อมถนน

นายณัชภณ ยลวงศ์ ขนส่งจังหวัดนครพนม กรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ในส่วนของสำนักงานขนส่งจังหวัดนครพนม อยากจะให้มีผู้ประกอบการนำรถใหญ่มาจดทะเบียนในจังหวัดนครพนมให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภายในจังหวัดนครพนมเอง หรือจังหวัดใกล้เคียง เพราะการเก็บภาษีค่าจดทะเบียนรถทั้ง 100% จะมอบให้กับส่วนท้องถิ่น แม้คนจะเข้าใจว่า การจดทะเบียนแล้วเก็บภาษีเข้ากรมการขนส่งฯ ทั้งหมด ขอบอกไว้ตรงนี้ว่า เงินทุกบาท ทุกสตางค์ จะเข้าองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม เพื่อที่จะแจกจ่ายให้กับเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หมู่บ้าน และอื่น ๆ เพื่อนำงบประมาณไปช่วยการซ่อมบำรุงถนน ให้พี่น้องประชาชนต่อไป

ระเบียง GMS เติบโตต่อเนื่อง

นายเกรียงเดช ปุ้มกระโทก กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ แอนด์ เค โลจิสติกส์ (2014) จำกัด กล่าวว่า  การเชื่อมโยงเป็นศูนย์กลางการขนส่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สู่ระเบียงเศรษฐกิจ GMS ไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจังหวัดนครพนมมีระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งมาก ส่งผลให้การค้าขายระหว่างระเบียงเศรษฐกิจ GMS เป็นไปด้วยความสะดวก โดยทางบริษัทฯ มีรถบรรทุกไว้บริการ จำนวน 49 คัน และมีรถร่วมบริการอีกกว่า 70 คัน รวมทั้งยังมีรถเวียดนามอีก 45 คัน เพื่อรองรับการเติบโตนี้

ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจโดยการจัดซื้อรถบรรทุกสแกนเนีย จำนวน 20 คัน และรถบรรทุกกึ่งพ่วงก้างปลา จาก PANUS จำนวน 20 พ่วง เช่นกัน เพราะมีความมั่นใจในคุณภาพของทั้งสแกนเนีย และ PANUS และเชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจขนส่งของบริษัทฯ เติบโตไปด้วยดี

โลจิสติกส์นครพนมเริ่มมีคู่แข่ง

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าจังหวัดนครพนม มีระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งมากก็ตาม แต่ก็เริ่มจะเต็มเพดานแล้ว ทั้งนี้ ในอนาคตจะมีคู่แข่งเข้ามาร่วมวงด้วยแล้ว ก็คือการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงปี 2562 ซึ่งจะมาเป็นคู่แข่งสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) เพราะมีระยะทางสั้นกว่าเพียงแค่ 120 กว่า กม. และทางการจีนได้ทำการเจาะทะลุเขามาแล้ว ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟ และมีเส้นทางไปจีนไม่ถึง 400 กม. ถ้ามาเปรียบเทียบกับเส้นจังหวัดนครพนมไปจีนที่ยาวถึง 900 กม. ภาคขนส่งและโลจิสติกส์ก็จะย้ายไปจำนวนมากเช่นกัน จึงได้ทำการจัดซื้อพื้นที่ไว้แล้ว จำนวน 5 ไร่ เพื่อจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นที่จังหวัดบึงกาฬ

เอกชนจับมือ 3 ฝ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายณปภัทช์ ทีฆธนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนานนท์ ทรัค จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัท สแกนเนียสยาม จำกัด และเป็นคู่ค้าธุรกิจกับบริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ในการเป็นศูนย์ซ่อมรถใหญ่ของทั้ง 2 ค่าย เนื่องจากได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของจังหวัดนครพนม จึงตัดสินใจร่วมกันขยายตลาดมายังภูมิภาคนี้

ล่าสุด ได้มีการมอบรถใหญ่สแกนเนีย และหางพ่วง ค่าย PANUSให้กับ บริษัท เจ แอนด์ เคฯ ซึ่งถือเป็นความเชื่อมั่นของนักลงทุนในพื้นที่ สำหรับจุดประสงค์นั้น เพื่อส่งเสริมนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจบริเวณเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดนครพนม สู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาคในอนาคตอันใกล้นี้ และถือเป็นการสตาร์ทอัพ ของพี่น้องชาวจังหวัดนครพนมด้วย



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ