หากพูดถึงพืชเศรษฐกิจที่นิยมปลูกกันมากในช่วงนี้ หนึ่งในนั้นคงจะต้องมีชื่อ “เมล่อน” อยู่ด้วยแน่นอน ด้วยคุณสมบัติรสชาติหวาน มีกลิ่นหอม รับประทานง่าย ทำให้กลายเป็นผลไม้ขายดีในทุกพื้นที่
เมล่อนเป็นพืชที่นิยมปลูกกันมากในพื้นที่ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคเหนือของไทย แต่ด้วยความนิยมที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีการศึกษาและทดลองปลูกในบางพื้นที่ของภาคใต้ อาทิ พื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งกำลังให้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ
เมล่อน เป็นพืชตระกูลเดียวกันกับแตงไทย บางท้องที่เรียกแตงเทศ หรือ แตงหอม มีลักษณะผลค่อนข้างใหญ่ น้ำหนักมาก ผิวเปลือกมีทั้งแบบเรียบ และแบบร่างแห เนื้อสีส้ม สีเหลือง และ สีเขียว ได้รับการยกย่องให้เป็น "ราชินีแห่งพืชตระกูลแตง" ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ตามลักษณะของผล คือ 1 กลุ่ม “ร็อคเมล่อน” เป็นเมล่อนที่มีลักษณะของเปลือกภายนอกแข็ง มีลายขรุขระเล็กน้อย 2 กลุ่ม “เน็ตเมล่อน” เป็นเมล่อนที่มีลักษณะของเปลือกมีลายร่างแหแผ่คลุมเปลือกด้านนอกไว้ และ 3 กลุ่ม “เมล่อนผิวเรียบ” หรือที่นิยมเรียกกันว่า แคนตาลูปนั่นเอง
เมล่อนเป็นพืชที่ชอบอากาศค่อนข้างร้อน อุณหภูมิประมาณ 25 – 35 องศาเซลเซียส มีขนาดแตกต่างกันไป โดยขนาดใหญ่เกรด A จะมีน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัมขึ้นไป ราคารับซื้อจากไร่ประมาณลูกละ 85 บาทส่วนเกรด B ขนาดต่ำกว่า 1 กิโลกรัม ราคาขายปลีกตามตลาดทั่วไปลูกละ 50-80 บาท ถือว่าเป็นผลไม้ที่มีราคาดีทีเดียว ทำให้เกษตรกรบางคนบางคนมีกำไรจากการขายเมล่อน 2- 3 แสนบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ นายปรีชาพัฒน์ วิเชียรสรรค์ รองนายกเทศมนตรี จังหวัดพิจิตร , นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร , นายรณรงค์ สิทธิเขตกรณ์ นายอำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร และ พระเมธีธรรมประนาท หรือ ท่านเจ้าคุณปรีชา เจ้าคณะอำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร พร้อมคณะผู้บริหารโครงการสยามธุรกิจช่วยเหลือสังคม ทดแทนคุณแผ่นดิน เจ้าของผลิตภัณฑ์ปุ๋ยอินทรีย์โชบุ พลัส ได้เข้าร่วมงานตัดเมล่อนชมผลผลิตของน้ำเพชรฟาร์ม จังหวัดพิจิตร ซึ่งปลูกเมล่อน แคนตาลูป ในระบบโรงเรือนปลอดสารพิษ โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปรากฏว่าเมล่อนที่ได้มีขนาดใหญ่มากกว่า 1 กิโลกรัม รสชาติหวาน หอม ซึ่งการจะบำรุงเมล่อนให้สมบูรณ์แบบนี้ได้ต้องให้ความใส่ใจนับเป็นความภาคภูมิใจของเกษตรกรให้สร้างผลผลิตที่ดีออกมาได้
โดยทางสยามธุรกิจได้ไปพูดคุยกับ “นายสมศักดิ์ บางแดง” เจ้าของน้ำเพชรฟาร์ม จังหวัดพิจิตร ที่ได้ทำสวนปลูกเมล่อน แคนตาลูป ในระบบโรงเรือนปลอดสารพิษ โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ได้เล่าให้ฟังว่า
ก่อนมาจะมาปลูกสวนเมล่อนตนเองเคยทำนาเป็นหลัก ในพื้นที่ 50 ไร่ และพอลูกชายไปได้แนวคิดมาจากเพื่อน จึงลงมือทดลองปลูกแคนตาลูปก่อน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ได้ผลผลิตแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นจึงสนใจและได้ทำการศึกษาปลูกเมล่อนเต็มที่ โดยในเบื้องต้นเริ่มดำเนินการทำโรงเรือนปลูกเมล่อนก่อน ด้วยงบประมาณ 100,000 บาท ซึ่งเป็นการซื้อความรู้จากคนอื่นมา พอรู้หลักการแล้ว ก็ลงมือดำเนินการทำโรงเรือนเอง ด้วยงบเพียง 45,000 บาท ถือว่าประหยัดงบลงไปค้อนข้างมากและหลังจากได้โรงเรือนแล้ว ก็เริ่มหาเมล็ดพันธ์เมล่อนก่อน โดยไปได้เมล็ดพันธ์มาจากจังหวัดปทุมธานี ซึ่งการปลูกเมล่อนนั้น ขั้นตอนไม่ค่อยยุ่งยาก พอได้เมล็ดพันธ์มาแล้ว ก็จะนำมาเพาะพันธ์เอง โดยแยกลงกระถาง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน ก็จะเริ่มโตได้ที่ แล้วค่อยเอามาลงแปลง โดนแปลงเมล่อนนั้น จะทำสายน้ำหยดไว้ เพื่อไม่ให้บริเวณโดยรอบชื้นมาก ถ้าชื้นมากจะไม่ดีต่อต้นเมล่อน และต้องมีร่อนน้ำไว้ระบายน้ำด้วย ซึ่งเมื่อนำมาลงแปลงแล้ว ประมาณ 20 วันก็จะออกดอก ขั้นตอนต่อไปก็ทำการผสมเกสร หลังจากนั้นประมาณ 65 วันก็สามารถเก็บขายได้
“การปลูกเมล่อน นั้น สามารถปลูกได้ทั้งปี แต่ต้องเว้นระยะห่างไว้ประมาณ 35 เซนติเมตร ถ้าเป็นมือใหม่แนะนำให้ปลูกสายพันธ์กรีนเน็ต 99 ซึ่งจะทนต่อสภาพอากาศในประเทศไทย และถ้ามีความชำนาญแล้วค่อยขยับไปปลูกสายพันธ์กาเลีย โดยสายพันธ์นี้ จะยุ่งยากหน่อย เพราะ 1 ต้น จะต้องนับใบให้ได้อย่างน้อย 25 ใบ ถึงจะออกมาสมบูรณ์
อย่างไรก็ดี การปลูกเมล่อนต้องดูแลเอาใจใส่ให้เหมือนลูก และ 1 ต้น จะต้องได้เพียงแค่ 1 ลูก ถึงจะสมบูรณ์ เพราะถ้าต้นสมบูรณ์จะได้ลูกละประมาณ 3 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 70 บาทหน้าสวน ที่สำคัญก่อนเก็บเกี่ยวต้องหยุดให้น้ำประมาณ 5-6 วัน และอีกข้อที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเลือกใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ดีและมีคุณภาพ ที่ทางสวนเราได้เลือกใช้ อย่าง “ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยอินทรีย์โชบุ พลัส คุณภาพเกรดเอ” ในการช่วยให้ผลผลิตเมล่อนของสวนเราออกผลมาได้อย่างสมบูรณ์ สวยงาม มี รสชาติ หวาน หอม กรอบ อร่อย ซึ่งทำให้เมล่อนของน้ำเพชรฟาร์มเกือบทุกลูกมีพ่อค้าแม่ค้าคนกลางมากมายสนใจมารับซื้อไปในราคาที่ดีทำให้เราได้รับผลกำไรที่มากพอสมควรจนสามารถดูแลทั้งตนเอง ครอบครัว ให้มีความสุขได้” เจ้าของน้ำเพชรฟาร์ม จังหวัดพิจิตร กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ นับได้ว่าเมล่อนจึงนับเป็นพืชเศรษฐกิจที่น่าสนใจในการปลูกทำเงิน ซึ่งสามารถขายเป็นผลไม้ หรือนำไปแปรรูปเพิ่มมูลค่าได้ เหมาะกับเกษตรกรยุค 4.0 อย่างแท้จริง!!! และสำหรับผู้ที่สนใจ ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยอินทรีย์โชบุ พลัส คุณภาพเกรดเอ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์ข่าวภูมิภาคหนังสือพิมพ์สยามธุรกิจทั่วประเทศหรือตัวแทนจำหน่ายตามจังหวัดต่าง ๆ