จันทรา พงศ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดสตาร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้พร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์ “ดีโด้” กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของฟู้ดสตาร์ในปี 2559 (ปีที่ผ่านมา) รายได้อยู่ที่ 3,200 ล้านบาท เติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากปัจจุบันตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มมีมูลค่า 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ น้ำผลไม้ระดับพรีเมี่ยม100% มีมูลค่า 5 พันล้านบาท, น้ำผลไม้ 40-90% มีมูลค่า 1,900 ล้านบาท, น้ำผลไม้อีโคโนมีและซูเปอร์อีโคโนมี 20-39% มูลค่า 3.3 พันล้านบาท และอื่นๆ อีก 1,300 ล้านบาท ขณะที่ดีโด้อยู่ในกลุ่มตลาดน้ำผลไม้ 20-39% หรือกลุ่มอีโคโนมี และกลุ่มซูเปอร์อีโคโนมี โดยมีส่วนแบ่งกว่า 40% ขณะที่ภาพรวมตลาดน้ำผลไม้ในปีนี้ แม้สภาพเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัวแต่เชื่อว่าจะมีทิศทางดีขึ้นจากกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆรวมถึงการสร้างตลาดในต่างประเทศ ในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) มีการเติบโตของธุรกิจเครื่องดื่มอย่างน่าจับตา
ดังนั้น บริษัทจึงมุ่งตลาดต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะตลาด CLMV ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาโดยการได้ทุ่มเงินกว่า 700 ล้านบาทดำเนินกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก ลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ที่ทันสมัยมาเพิ่มกำลังการผลิตในการผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มุ่งเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน ทั้งตลาดในประเทศไทยและตลาดต่างประเทศ CLMV และตลาดใหม่ๆ อย่างจีน และอินเดีย จากทั้งหมดที่ส่งออกกว่า20 ประเทศทั่วโลก เริ่มต้นจากค้าขายผ่านชายแดน ไปสู่การหาตัวแทนจำหน่ายในตลาดที่มีศักยภาพ โดยเห็นได้จากอัตราการเติบโตตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มของแบรนด์เราในอาเซียนโดยเฉพาะประเทศ พม่า ส่งออกมากสุด รองลงมา คือ เวียดนาม และกัมพูชา ลาว ส่งผลให้ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้วางงบการตลาดกว่า 200 ล้านบาท ถือว่าเป็นงบที่วางไว้สูงกว่าปีก่อนที่ใช้ราว 100-150 ล้านบาท ทำตลาดในประเทศและต่างประเทศ ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูดี ทันสมัยมากขึ้น
ล่าสุด ได้ทุ่มงบ 100 ล้านบาท เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ มี “มาริโอ้ เมาเร่อ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ภายใต้คอนเซปต์“ส่งต่อความสดชื่น...สะใจ ได้ทุกที่ ทุกเวลา” ออนแอร์ใน 3 ประเทศ คือ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำในตลาดอาเซียนโดยตลอดทั้งปีจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ต่อเนื่อง ทั้งไลน์สินค้าใหม่และรสชาติใหม่ ด้วยการใช้งบลงทุนอีกราว 400 ล้านบาท เพิ่มเครื่องจักรใหม่เพื่อเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ปลายปีนี้ โดยเฉพาะกลุ่มแพ็กเกจจิ้งแบบยูเอชทีสำหรับตลาดในประเทศและต่างประเทศเพื่อสะดวกในการขนส่ง เมื่อเทียบกับขวดเพ็ทฝาฟอยล์และแบบถ้วย
“จากการที่วางแผนดำเนินงานอย่างครอบคลุมในการรุกตลาดต่างประเทศแล้วในปีนี้ลำดับต่อไปบริษัทคาดว่าจะเข้าไปตั้งออฟฟิศประจำในแต่ละประเทศที่เราได้เข้าไปทำตลาด โดยคาดว่าจะต้องมีสำนักงานเข้าไปตั้งได้ครบ ภายในระยะเวลา 3 ปีจากนี้ ส่วนการลงทุนอื่นๆ คาดว่าจะเข้าไปตั้งโรงงานผลิตในอนาคต สำหรับปีนี้เรามั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายจากกลุ่มต่างประเทศเพิ่มเป็น50% ของรายได้รวมจากปีก่อนอยู่ที่ 40% อีกทั้งตั้งเป้าในการมองหาโอกาสจากการเข้าไปเปิดตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ อินเดีย จีน เพื่อสร้างรายได้ทะลุ 5,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี จากสัดส่วนรายได้หลักที่จะมาเป็นจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 60%”
*********************************************************