นายวิสุทธิ วิทยฐานกรณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลืองภายใต้แบรนด์ “องุ่น” กล่าวว่า หลังจากบริษัทได้ปรับการบริหารงาน เพื่อสร้างประสิทธิภาพให้มากขึ้น ส่งผลให้ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีผลกำไรเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง เห็นจากปี 2557 รายได้ 25,248 ล้านบาท กำไร 1,670 ล้านบาท ส่วนปี 2558 รายได้ 25,926 ล้านบาท กำไร 1,892 ล้านบาท และปี 2559 รายได้ 27,924 ล้านบาท กำไรเพิ่มสูงขึ้น 45% เป็น 2,744 ล้านบาท นับว่าสูงสุดในรอบ 50 ปี สำหรับปัจจัยที่นอกเหนือจากการพัฒนาด้านการบริหารแล้ว ยังมีสถานการณ์อีกหลายอย่างที่เอื้อต่อธุรกิจน้ำมันพืช ไมว่าจะเป็นเอลนีโญที่ส่งผลกระทบในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมถึงไทย ทำให้ปาล์มขาดแคลน ขณะเดียวกันภัยแล้งในอินเดียก็ทำให้เกิดความต้องการน้ำมันปาล์ม และน้ำมันถั่วเหลืองจากไทยเพิ่มมากขึ้น รวมถึงประเทศไทยเองยังมีปัญหาเรื่องของสต็อกน้ำมันปาล์ม จึงได้มีการลดการผลิตไบโอดีเซลจาก 7% เหลือ 3% ซึ่งการที่น้ำมันปาล์มราคาสูง ทำให้น้ำมันถั่วเหลืองมียอดขายที่ดีเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มการเติบโตและความต้องการขยายธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการวางแผนงาน เพื่อสร้างโรงงานการผลิตแห่งใหม่ จากเดิมมีอยู่ด้วยกัน 3 แห่ง ใน จ.นครปฐม ซึ่งการพิจารณามีโอกาสจะเพิ่มฐานการผลิตไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน รวมถึงหาทำเลใหม่เพื่อขยายการผลิตในประเทศไทย เบื้องต้นมองว่าน่าจะต้องใช้งบประมาณหลักพันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันรายได้จากการส่งออกของบริษัทอยู่ที่ 5-6% เท่านั้น ซึ่งในอนาคตหากมีการลงทุนขยายกำลังการผลิตเข้ามาเพิ่ม ก็เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยผลักดันยอดการส่งออก
ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการสุขีกัมปานี-THAILAND SOCIAL ENTERPRISE รูปแบบในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในวาระครบรอบ 50 ปี โดยที่มาคือแนวคิด “Let s Discover Tomorrow” ด้วยความตั้งใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการ ขับเคลื่อน ค้นหา “วันพรุ่งนี้”ให้ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สภาพแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เพื่อส่วนรวมให้เกิดขึ้นในหัวใจของคนรุ่นใหม่ไปพร้อมๆกัน
ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดน้ำมันพืชในประเทศไทยปี 2560 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 4% หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 23,700 ล้านบาท แบ่งเป็นน้ำมันปาล์ม 66% น้ำมันถั่วเหลือง 28% และอื่นๆ 6% จากปี 2559 ที่มีมูลค่ารวม 22,800 ล้านบาท มีการเติบโต 3-4% โดยแบรนด์องุ่นเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 57%.