นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือไทยแห่งประเทศไทย ( PUBAT ) สนับสนุนรัฐบาลอนุทิน เดินหน้าโครงการ “คนละครึ่ง” กระตุ้นเศรษฐกิจไทยฟื้น พร้อมเปิดโอกาสให้เด็ก-เยาวชน คนไทยใช้จ่าย ซื้อหนังสือและอุปกรณ์การเรียนได้ หลังวิจัยพบ เด็กรุ่นใหม่เลือกซื้อหนังสือและอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น พร้อมสร้างรายได้ผู้ประกอบการ SMEs ส่งเสริมกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
นายณัฐกร วุฒิชัยพรกุล นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยว่า สมาคมฯ เชื่อมั่นว่ารัฐบาลชุดใหม่ มีศักยภาพ มีความพร้อมกำหนดแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าอย่างมั่นคง โดยสมาคมฯ เห็นว่ามาตรการที่จะเกิดผลจริงต้องครอบคลุม ตรงเป้า และเห็นผลชัดเจน ไม่เพียงช่วยผู้บริโภค แต่ยังสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และธุรกิจทุกระดับ เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ เพิ่มกำลังซื้อ และกระตุ้นการหมุนเวียนของเงินในระบบ
สมาคมฯ จึงขอเสนอแนวคิดในการส่งเสริมและสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน และสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
1. ส่งเสริมให้เกิดโครงการ “คนละครึ่ง” : สมาคมฯ เห็นว่ามาตรการ “คนละครึ่ง” จะเป็น “ยาแรง” ที่ช่วยอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง และเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาอย่างยาวนาน โดยสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนและกระจายรายได้อย่างทั่วถึง และเพื่อส่งเสริมด้านการอ่านต่อสังคม ควรกำหนดให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” สามารถใช้จ่ายซื้อหนังสือ สื่อการเรียนการสอน ตลอดจนอุปกรณ์การเรียน ได้
2. โครงการ “Easy e-Receipt” ช้อปลดหย่อนภาษี เฟส 2 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายช่วงไฮซีซั่น สำหรับการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่ลงทะเบียนในระบบ ระยะเวลาโครงการ 3 เดือน (ตุลาคม-ธันวาคม) โดยปรับเงื่อนไขให้เข้าร่วมสะดวกขึ้น ครอบคลุมหมวดสินค้าทั่วไป สินค้า OTOP หนังสือและอุปกรณ์การเรียนการสอน และสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 100,000 ล้านบาท เพิ่มรายได้ให้ร้านค้า และส่งเสริมให้ร้านค้า เข้าสู่ระบบภาษีและระบบดิจิทัลซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
3. โครงการส่งเสริมการจัดซื้อหนังสือสำหรับห้องสมุด เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชน ตลอดจนประชาชนสามารถเข้าถึงการอ่านหนังสือได้อย่างเต็มที่ จึงอยากนำเสนอให้รัฐบาลและสถานศึกษา จัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อหนังสือเพื่อให้บริการแก่นักเรียนและผู้ใช้บริการทั่วไปในห้องสมุด ทั้งในสถานศึกษา สถานที่ราชการ หรือจุดอ่านหนังสือของชุมชน เพื่อให้เป็นแหล่งค้นหาความรู้มากขึ้น เพราะหนังสือเป็นรากฐานของภูมิปัญญา
ทั้งนี้ จากการสำรวจ ความพึงพอใจของนักอ่านที่เข้าร่วมงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 53 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 23 ในปี 2568 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 4,314 ตัวอย่าง พบว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 15-18 ปี นิยมอ่านหนังสือแบบเล่ม แบบเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 86% ถัดมาเป็นกลุ่มที่มีอายุ 23-28 ปี สัดส่วน 84% อายุ 12-14 ปี สัดส่วน 83% และกลุ่มอายุ 19-22 ปี และ 29-35 ปี สัดส่วน 82% เท่ากัน ขณะเดียวกันจะเห็นว่าการผ่านหนังสือแบบรายตอนผ่านแอพพลิเคชั่น/เว็บไซต์ เริ่มมีกลุ่มเด็กลง คืออายุระหว่าง 12-28 ปีมากขึ้น บ่งชี้ให้เห็นว่า เด็กและเยาวชน ให้ความสนใจเลือกซื้อหนังสือและอ่านหนังสือมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่การสำรวจพฤติกรรมการอ่านและการซื้อหนังสือของคนไทย ในปี 2567 พบว่า คนไทยมีการอ่านหนังสือเฉลี่ย 50.77 นาที/วัน โดยเป็นการอ่านในรูปแบบกระดาษ 51.37 นาที/วัน และการอ่านทุกอย่างบนแพลตฟอร์มออนไลน์ 152.10 นาที/วัน โดยรูปแบบหนังสือที่คนไทยนิยมอ่าน ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ 56.13% หนังสือกระดาษ 26.16% และ หนังสือเสียง 15.76%
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมหนังสือไทยในปี 2568 มีมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 3.5% ต่อปี โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ 1.ปัจจัยทางการเมือง จากนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ที่หนังสือเป็น 1 ใน 11 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 2. ปัจจัยด้านกฎหมาย/กฎระเบียบ 3.ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ที่ไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้ากระดาษจากต่างประเทศ 4.ปัจจัยด้านสังคม จากวัฒนธรรมการอ่าน ค่านิยมการเรียนรู้ 5. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เป็นต้น
สมาคมฯ เชื่อมั่นว่า การส่งเสริมให้เด็กและเยาวชน ตลอดจนคนไทยได้อ่านหนังสือ จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและการนำไปใช้ต่อยอดในชีวิตประจำวัน ตลอดจนการสร้างงานเป็นอาชีพ รวมถึงผู้ประกอบการทุกภาคส่วน ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยสมาคมฯ พร้อมสนับสนุนและผลักดันให้มาตรการต่างๆ เหล่านี้ เข้าถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน