บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ผู้นำตลาดสีทาอาคารอันดับหนึ่ง เคมีภัณฑ์ก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้างรักษ์โลกครบวงจรของไทย ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 ทำกำไรสุทธิ 652 ล้านบาท เติบโต 36.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้รวม 5,423 ล้านบาท โดยมีแรงหนุนสำคัญจากยอดขายต่างประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาพรวมการดำเนินธุรกิจ
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยว่า ในไตรมาส 2 ปีนี้ กำไรของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการบริหารซัพพลายเชน รวมถึงอานิสงส์เชิงบวกจากราคาวัตถุดิบที่ลดลงและการแข็งค่าของเงินบาทเป็นผลให้ต้นทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่รายได้ของบริษัทยังแข็งแกร่งจากการเติบโตของตลาดต่างประเทศ ส่วนในประเทศได้รับผลกระทบจากสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวและปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้ในไตรมาส 2/2568 มีรายได้รวม 5,423 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ เป็นเงิน 652 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 36.7% ส่งผลให้ผลประกอบการในครึ่งปีแรก เติบโตอย่างโดดเด่น ด้วยรายได้รวม 10,890 ล้านบาท กำไรสุทธิพุ่งถึง 1,385 ล้านบาท เติบโต 8.1% จากปีก่อน
สำหรับกลยุทธ์รับมือเศรษฐกิจและสร้างความยั่งยืน แม้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง 2568 ยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากสงครามการค้า ความผันผวนเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเทศ แต่ TOA ได้เตรียมความพร้อมทั้งด้านการกระจายความเสี่ยง การขยายธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์มากกว่าสีทาอาคาร และการพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลก เพื่อตอบโจทย์กระแสความต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายจตุภัทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามองว่าความยั่งยืนจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดในอนาคต ทั้งจากการยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างและความตื่นตัวของผู้บริโภคต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจ GREEN MISSION ด้วย 7 กลยุทธ์หลักของ TOA ในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยลดการใช้พลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ภายใต้ภารกิจ ‘พิชิต Net Zero’ เพื่อบรรลุการเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG (Environmental, Social, and Governance) ที่มุ่งเน้นความสมดุลทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ
หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดย TOA ได้ผ่านการรับรอง ฉลากลดโลกร้อน (Carbon Footprint Reduction; CFR) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) มากที่สุดในอุตสาหกรรม รวมทั้งสิ้น 133 ผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็น สีทาอาคาร 131 ผลิตภัณฑ์ และแผ่นยิปซัม 2 ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในปีนี้ เพิ่มการรับรองใหม่อีกถึง 91 ผลิตภัณฑ์”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา หุ้นละ 0.36 บาท รวมเป็นเงิน 698 ล้านบาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 20% สะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความมุ่งมั่นคืนผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ