นายสุวัฒน์ เหลืองวิริยะ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมเดินหน้าขยายฐานธุรกิจให้กว้างขวางขึ้น เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างโดดเด่นและมั่นคงในระยะยาว โดยขณะนี้บริษัทพร้อมต่อยอดธุรกิจกำจัดกากอุตสาหกรรมไปสู่ธุรกิจพลังงานทดแทนจากกากอุตสาหกรรม (Refuse Derived Fuel Project) โดยการคัดแยกและแปรรูปกากอุตสาหกรรมที่บริษัทรับเข้ามากำจัด ได้แก่ กากอุตสาหกรรมประเภท เศษหนัง กระดาษ พลาสติก บรรจุภัณฑ์ เศษผ้าปนเปื้อน วัสดุดูดซับ ยาง วัสดุผสม ไปเป็นเชื้อเพลิงแข็ง (RDF) เพื่อจำหน่าย ให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ

"โครงการนี้เรียกว่า RDF โดย BWG สามารถรับประโยชน์ได้ถึง 2 ชั้นคือ รับค่ากำจัดกากอุตสาหกรรมจากโรงงานเจ้าของกากอุตสาหกรรม และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายเชื้อเพลิงแข็งให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการเชื้อเพลิงทดแทนด้วย เนื่องจากเชื้อเพลิงที่ผลิตได้มีราคาประมาณ 1,000-1,500 บาทต่อตันเท่านั้น ต่ำกว่าเชื้อเพลิง เช่น ถ่านหิน ที่โรงงานอุตสาหกรรมใช้ในปัจจุบัน 1-2 เท่าตัว ในขณะที่ค่าความร้อนที่ได้รับไม่ต่างกันมาก ซึ่งจากการสำรวจตลาดพบว่า เชื้อเพลิงแข็งของบริษัทได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโรงงานที่มีเตาเผาที่ต้องใช้เชื้อเพลิงเป็นจำนวนมาก" นายสุวัฒน์ กล่าว

สำหรับโครงการ RDF จะแบ่งออกเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกมีกำลังการผลิตประมาณ 250 ตันต่อวัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องการผลิตได้ปฟระมาณเดือนพฤษภาคมนี้ และรับรู้รายได้ในไตรมาสเดียวกัน ส่วนโครงการในเฟส 2 จะเริ่มได้ในช่วงปลายปี 2556 ซึ่งคาดว่าจะมีกำลังการผลิตทั้ง 2 เฟสรวมกันประมาณ 1,000 ตันต่อวัน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนอกเหนือจากการเติบโตของธุรกิจหลัก คือธุรกิจกำจัดกากอุตสาหกรรมแบบฝังกลบที่คาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยบริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปีนี้ไว้จาก 20% เป็น 30% จากปี 2555 ที่บริษัทมีรายได้ 1,060 ล้านบาท

"หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดมี คำสั่งยกฟ้องในคดีที่มีกลุ่มบุคคลฟ้องให้ปิดกิจการและยึดใบอนุญาตของบริษัท ซึ่งถือว่าคดีนี้ถึงที่สุด ทำให้ความเสี่ยงทางธุรกิจที่นักลงทุนเคยให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ หมดไปทันที และเชื่อว่าหลังจากนี้นักลงทุนจะเชื่อมั่นและมั่นใจกับการลงทุนใน BWG มากยิ่งขึ้น และหลังจากนี้ บริษัทมีแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องให้เติบโตไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้กับผู้ถือหุ้น เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทได้ใช้เวลาไปกับการพิสูจน์ความจริงเพื่อให้ทุกอย่างกระจ่าง ชัด จนทำให้ต้องชะลอการขยายธุรกิจในบางธุรกิจออกไป แต่ขณะนี้บริษัทพร้อมแล้วที่จะขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเต็มกำลังอีกครั้ง" นายสุวัฒน์ กล่าว