เมื่อพูดถึงการสานต่อธุรกิจครอบครัว หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องง่าย เพราะมีรากฐานมั่นคงและมีคนปูทางไว้แล้ว แต่ในความจริงนั้น การรับช่วงต่อธุรกิจไม่ใช่แค่การ “เดินตาม” แต่คือการ “ก้าวต่อ” อย่างมีทิศทางของตนเอง ซึ่งต้องอาศัยทั้งความกล้า ความเข้าใจ และความอดทนไม่น้อย
ดร.บริดตา อินรัญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีพี อาร์คิเทคเจอร์ แอนด์ คอนสตรั๊คชั่น ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้สานต่อจากครอบครัว โดยเส้นทางนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ต่อจากคุณพ่อผู้ก่อตั้งและบริหารมานานกว่า 30 ปี
ดร.บริดตา เปิดเผยว่า คุณพ่อท่านเป็นนักบริหารรุ่นเก๋า เติบโตมากับระบบที่แข็งแรง ชัดเจน และวินัยสูง มาถึงรุ่นลูกเป็นคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การสื่อสาร และแนวคิดในการบริหารคน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่า "ช่องว่างระหว่างเจเนอเรชัน" จะกลายเป็นโจทย์สำคัญ ความยากไม่ใช่แค่เรื่องระบบงาน แต่คือ “วิธีคิด” ที่แบบเดิมไม่ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน ขณะเดียวกัน สิ่งที่เราพยายามนำเสนอหรือเปลี่ยนแปลง ก็อาจดูเร็วเกินไปในสายตาของคุณพ่อ เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะฟังกันให้มากขึ้น
“ช่วงแรก ๆ เต็มไปด้วยความท้าทาย มีทั้งความขัดแย้ง ความเงียบ และการไม่ยอมรับในบางจังหวะ แต่เมื่อผ่านเวลาไป เราเริ่มเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องของ “ชนะหรือแพ้” แต่เป็นเรื่องของ “การเติบโตไปด้วยกัน” เราจึงค่อย ๆ ปรับวิธีสื่อสาร เปิดใจมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะให้พื้นที่แก่กัน สิบปีที่ผ่านมาสอนให้เรารู้ว่า การสานต่อธุรกิจครอบครัวไม่ใช่แค่การรักษาสิ่งที่มีอยู่ แต่คือการต่อยอดด้วยความเคารพในรากเหง้า และกล้าที่จะสร้างอนาคตในแบบของเราเอง เพราะธุรกิจไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขหรือกำไร แต่มันคือเรื่องของ “คน” และ “ความเข้าใจ” ระหว่างคนในครอบครัวด้วยเช่นกัน” ดร.บริดตา กล่าว
ดร.บริดตา อินรัญ เป็นคนรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับด้านการศึกษา โดยจบการศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์, ปริญญาโท เกียตรนิยมอันดับ 2 จาก middlesex university london สาขา International Business Management ซึ่งเปิดโลกการบริหารในมุมมองสากล และหล่อหลอมแนวคิดการจัดการที่เน้นระบบ ความยืดหยุ่น และความเข้าใจในความหลากหลายของตลาดโลก และมุ่งมั่นด้านการศึกษาจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ คณะบริหารธุรกิจอุตสาหกรรมและทรัพยากรมนุษย์ ตั้งแต่อายุเพียง 29 ปี
นอกจากการเป็นผู้บริหารที่สานต่อธุรกิจครอบครัว ดร.บริดตา อินรัญ และยังทำหน้าที่เป็นอาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพราะเชื่อว่าการศึกษาไม่ได้จบลงที่ห้องเรียน และธุรกิจเองก็ไม่ได้อยู่แค่ในสมการหรือทฤษฎี โดยได้นำประสบการณ์ในการทำงานจริงมาถ่ายทอดให้กับนักศึกษา พร้อมกับการเป็นนักวิจัยในโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาข้อมูลสุขภาพแบบเปิดเพื่อส่งเสริมระบบดูแลสุขภาพแบบบูรณาการ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยงานภาครัฐ
ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ดร.บริดตา บอกเล่าว่า ปัจจุบันธุรกิจรับเหมาก่อสร้างถือเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย คู่แข่งในวงการนี้ไม่ได้มีแค่เกิดใหม่หรือเติบโต แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ต้องปิดตัวลงไป หากไม่แข็งแกร่งพอในด้านการบริหาร ต้นทุน หรือคุณภาพ ดังนั้น การอยู่รอดในวงการนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพัฒนารอบด้าน ทั้งด้านโครงสร้างองค์กร เทคโนโลยี และบุคลากร โดยเราต้องยกระดับคุณภาพงานก่อสร้าง ประกอบกับใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนาทักษะทีมงานและบุคลากร สร้างความแตกต่างและมีจุดยืน รวมถึงการบริหารความเสี่ยงและความสัมพันธ์กับลูกค้า
“ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในวันนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของ "ใครทำได้" แต่เป็นเรื่องของ "ใครทำได้ดีกว่า และยืนระยะได้ยาวกว่า" การพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่เพิ่งเริ่มต้น หรือบริษัทที่อยู่ในตลาดมานาน เพราะในสมรภูมิของการก่อสร้าง ผู้ที่อยู่รอดได้ ไม่ใช่แค่ผู้ที่เริ่มต้นก่อน แต่คือผู้ที่พัฒนาอยู่เสมอ” ดร.บริดตา กล่าว
ดร.บริดตา กล่าวปิดท้ายถึงเป้าหมายในชีวิตว่า ไม่ได้หยุดอยู่แค่การบริหารธุรกิจให้เติบโต แต่คือ การรักษาคุณค่าที่ธุรกิจครอบครัวสร้างไว้ และส่งต่อสิ่งเหล่านั้นไปยังรุ่นถัดไปอย่างมั่นคง เพราะเชื่อว่าธุรกิจที่ดีไม่ใช่แค่ทำให้ใหญ่ แต่ต้อง “เติบโตอย่างมีรากฐาน” และ “เป็นที่พึ่งพิงได้จริง” สำหรับทั้งลูกค้าพนักงาน และสังคมรอบข้าง เพราะสุดท้ายแล้ว ความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่เพียงแค่เราทำอะไรได้มากแค่ไหน แต่คือ เราจะส่งต่ออะไรให้คนรุ่นถัดไปได้มากแค่ไหน อย่างมีคุณภาพและคุณค่า