นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า โดยปีนี้ 2567 บริษัทตั้งเป้าผลเรียกอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท ผลเรียกเก็บไตรมาส 1 ปี 67 สามารถทำได้ 3,535 ล้านบาท มีอัตราเติบโตที่ 9.44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่จำนวน 3,230 ล้านบาท ซึ่งช่วยทำให้สามารถสร้างผลกำไรได้ 423 ล้านบาท มีการเติบโตสูงถึง 58.43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีผลกำไร 267 ล้านบาท ส่งผลทำให้ตลอดช่วง 25 ปี BAM มีกำไรสะสมรวม 77,593 ล้านบาท โดยสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ให้ได้ข้อยุติจากการแก้ไขปัญหาหนี้เป็นจำนวน 155,683 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 484,649 ล้านบาท และสามารถจำหน่ายทรัพย์ NPA ไปแล้ว จำนวน 52,258 รายการ คิดเป็นราคาประเมิน 122,866 ล้านบาท โดยปัจจุบัน BAM มี NPL อยู่ในความดูแลจำนวน 87,371 ราย คิดเป็นภาระหนี้รวม 496,002 ล้านบาท เมื่อเทียบกับระบบสถาบันการเงินคิดเป็น 98.06% ขณะที่ NPA มีจำนวน 24,378 รายการ มูลค่าราคาประเมิน 72,958 ล้านบาท เมื่อเทียบกับระบบสถาบันการเงินคิดเป็น 47.19%
อย่างไรก็ดี ในส่วนของการรับซื้อหนี้มาบริหาร (NPL) ตั้งเป้ารับซื้อหนี้อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาสที่ 1/2567 รับซื้อหนี้เอ็นพีแอลมาค่อนข้างน้อยใช้งบฯลงทุนราว 3,000 ล้านบาท คิดเป็นมูลหนี้ราว 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 10% ของมูลหนี้ที่สถาบันการเงินนำออกมาขายราว 5-6 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง ทำให้บริษัทไม่ได้เข้าไปแข่งขันมากนัก แต่คาดว่าทั้งปีน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
“ส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้ประสบความสำเร็จมาจากการที่ BAM มีเครือข่ายสำนักงานสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ โดยสำนักงานภูมิภาคช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าและให้บริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งพนักงานในสำนักงานสาขาส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น ทำให้มีความเข้าใจสภาวะตลาดในพื้นที่นั้นๆ และเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี เป็นประโยชน์ต่อ BAM ในการเจาะกลุ่มเป้าหมายการทำตลาดและยังทำให้สามารถประเมินราคาของทรัพย์สินในกระบวนการกำหนดราคาซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายทั่วทุกภูมิภาคได้อย่างเหมาะสมและแม่นยำยิ่งขึ้น”
สำหรับภาพรวมธุรกิจปี 2567 ภายหลังจากมีการเบิกจ่ายงบประมาณ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าจะทำให้กิจกรรมการซื้อ การขายและการชำระเงินปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ส่วน BAM ได้กำหนดแผนกลยุทธ์ประจำปี 2567 ประกอบด้วย กลยุทธ์การขยายธุรกิจ ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ Clean Loan ด้วยการจัดกลุ่มลูกหนี้ Clean Loan ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่บริหารเอง กับกลุ่มที่ให้ทนายนอก/Collector บริหารจัดการ เพื่อลดเวลาในการติดตามหนี้ และการดำเนินโครงการกิจการค้าร่วม (Consortium) โดยในเบื้องต้น BAM จะคัดเลือกทรัพย์ประเภทโครงการ เพื่อกำหนดมาตรฐานเงื่อนไข รวมถึงกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจ ได้แก่ การพัฒนา Pricing Model ในการกำหนดราคาซื้อ และเน้นการลงทุนแบบ Selective และการลดค่าใช้จ่าย ลดเวลา ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทางคดี กระบวนการประเมินราคาทรัพย์ รวมถึงปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีความยืดหยุ่น
ในส่วนของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ได้แก่ การสร้างระบบการให้บริการลูกค้าผ่านช่องทาง Online โดยมีระบบการชำระเงิน ตรวจสอบภาระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ รวมทั้งการซื้อทรัพย์ผ่าน BAM Mobile Application การบริหารจัดการข้อมูล DATA Management Dashboard ด้วยการสร้างศูนย์ข้อมูลกลาง (DATA Center) เพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลองค์กรและการจัดทำรายงานทั้งหมด โดยมีข้อมูลจากแหล่งเดียวกัน เพื่อกลายเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Driven Organization) ซึ่งเป็นเครื่องมือการตัดสินใจสำหรับการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงระบบ Lead Management ที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่สนใจสินค้าและกลุ่มลูกหนี้ของ BAM ที่ต้องการทราบข้อมูลเบื้องต้นเพื่อเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ให้ติดต่อหรือลงทะเบียนเข้ามา และเตรียมนำ AI มาช่วยในการวิเคราะห์ลูกหนี้ ทำให้สามารถจำแนกลูกหนี้กลุ่มต่าง ๆ เพื่อหาแนวทางบริหารจัดการที่เหมาะสมต่อไป
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปิดท้ายว่า จากแผนที่เราต้องการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (JV AMC) ร่วมกับธนาคารออมสิน เราได้มีการตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะมีการแถลงข่าวในการร่วมมือกันในครั้งนี้วันที่ 27 พฤษภาคม 2567 โดยเบื้องต้นจะเป็นการร่วมทุนในสัดส่วน 50% เท่ากัน และจะมีการจัดตั้งบริษัทและรับซื้อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารออมสิน เพียงเจ้าเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้เราได้มีการเข้าไปเจรจาร่วมทุนเพิ่มเพื่อขอร่วมจัดตั้ง JV AMC กับธนาคารอื่นเจ้าอื่น ๆ อีกประมาณ 3-4 ราย ซึ่งสำหรับในปีนั้หากได้ร่วมทุนกับ 2 ธนาคารก็ถือว่าเป็นไปตามเป้าที่วางไว้แล้ว
ทั้งนี้ บริษัทยังได้วางแผนดำเนินงานไปในอีกข้างหน้า 3-5 ปี ที่ได้วางแนวทางการเป็น Digital Enterprise ซึ่งมีการปรับกระบวนการทำงานหลักสำหรับ NPL NPA LAW และบัญชีการเงิน รวมถึงการสร้างฐานข้อมูลเพื่อนำมาใช้เชิงธุรกิจ และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบงานและข้อมูลสารสนเทศ ในขณะที่ระยะ 3-5 ปี มุ่งสู่การเป็นศูนย์การสร้างมูลค่าทรัพย์ (Asset market maker) ด้วยการดำเนินการเป็น Non-Financial Debt Management (NFD), Secured P2P Facilitator และRegional AMC Expansion ส่วนระยะมากกว่า 5 ปี สร้างโอกาสในระยะยาวด้วยการเพิ่มพอร์ตไปยัง Non-RE (Alternative assets), ปล่อยกู้ลูกหนี้ที่ชำระอย่างสม่ำเสมอ (Recovery credit) การเป็น Regional NPLs marketplace การจัดทำธุรกิจลงทุนในหุ้นนอกตลาด (Private equity) การ Distressed PE broker และการพัฒนาธุรกิจด้านข้อมูลการลงทุนอสังหาฯ (RE Data intelligence) รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับอนาคต Capability Development พร้อมทั้งการจัดทำแผนพัฒนา Successor & Talent และพัฒนา Core Capability เช่น งาน AO : NPL /NPA และงานประเมินราคาทรัพย์สิน