“ไทวัสดุ” โชว์แผนลุยธุรกิจยาว 5 ปี สู่ผู้นำเบอร์ 1 ธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านครบวงจรในไทย ด้วยยอดขายทะลุ 7 หมื่น ลบ.

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

“ไทวัสดุ”  โชว์แผนลุยธุรกิจยาว  5 ปี สู่ผู้นำเบอร์ 1 ธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านครบวงจรในไทย ด้วยยอดขายทะลุ 7 หมื่น ลบ.


นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ปี 2566 ซีอาร์ซี ไทวัสดุ ที่มียอดขายรวมโตสูงสุด 40,000 ล้านบาท ภายใต้งบลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตต่อปีที่ 11%  โดยนอกจากความสำเร็จในเชิงรายได้แล้ว ยังได้มุ่งเร่งแผนการขยายสาขาไทวัสดุ และบีเอ็นบี โฮมทุกฟอร์แมตถึง 14 สาขา ภายในปีเดียวทำให้ภาพรวมมีจำนวนสาขาถึง 90 แห่ง ครอบคลุม 47 จังหวัดทุกภูมิภาค สำหรับในภาพของการเติบโตของช่องทางการขายออนไลน์ตั้งแต่ปี 2563 - 2566 ที่ได้รับแรงผลักดันต้องปรับตัวจาก วิกฤติ COVID 19 และ  Digital Disruption ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค จึงทำให้เร่งพัฒนาระบบ E-Commerce เพื่อขายสินค้าและให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์เต็มรูปแบบทุกช่องทาง พัฒนาเพื่อสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ ซึ่งมียอดขายพุ่งแตะระดับ 1,400 ล้านบาท ภายในเวลา 4 ปี อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ถึง 145% มีลูกค้าใหม่ที่ ช็อปออนไลน์มากกว่า 5,000 คน/เดือน ครองใจลูกค้าเดิมให้มีการซื้อซ้ำถึง 60% และซื้อเฉลี่ยสูงขึ้น 12%YoY โดยจำนวนลูกค้าในภาพรวมที่ซื้อทั้งหน้าร้านและออนไลน์เติบโตสูงขึ้น 46%YoY จากตัวเลขดังกล่าวช่วยการันตีได้ว่าในทุกช่องทางการขายสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

              สำหรับทิศทางสร้างการเติบโตของไทวัสดุในปี 2567 นี้ ยังคงขับเคลื่อนการปูพรมขยายสาขาทุกภูมิภาคทั่วไทย ภายใต้แบรนด์แบรนด์ไทวัสดุ และบีเอ็นบี โฮม ตั้งเป้าขยายทุกโมเดล ทั้ง Red Format รูปแบบมาตรฐาน, Hybrid Format (White Format) และ Blue Format ขนาดเล็ก เจาะกลุ่มผู้รับเหมารายย่อย รวมทั้งสิ้น 103 แห่ง บนพื้นที่ขายรวมกว่า 1,400,000 ตร.ม.ผ่านแผนดำเนินงาน 5 ปี (2567-2571) เราตั้งเป้าหมายตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านอย่างครบวงจร ด้วยส่วนแบ่งการตลาดด้วยยอดขาย 70,000 ล้านบาท และอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 12% เหนือการเติบโตของตลาดในภาพรวม โดยมี 3 กลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยนำไทวัสดุเดินหน้าสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน 3 เรื่องหลักๆ คือ

1) Hybrid Format (White Format) ที่ได้ผนึกจุดแข็งของแบรนด์ไทวัสดุ และบีเอ็นบี โฮม ให้เป็นศูนย์รวมสินค้าวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์งานช่าง เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเพื่อบ้าน ของตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน สามารถตอบโจทย์ทุกกลุ่มลูกค้าทั้งผู้รับเหมา ช่าง และเจ้าของบ้าน ด้วยพื้นที่กว่า 20,000 ตร.ม. รวบรวมสินค้ามากถึง 50,000 รายการ และยังเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มยอดขายได้ถึง 30% โดย ณ สิ้นปี 2567 จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 16 สาขา ได้แก่ ศรีสมาน, บางแสน, รังสิต คลอง4, ภูเก็ต ฉลอง, เมืองเอก, สมุทรปราการ, เชียงใหม่ สันทราย, บางใหญ่ ,นครอินทร์, อุดรธานี กุดสระ, พระราม 3 , บางนา, บางบัวทอง, สุขาภิบาล 3, ภูเก็ต และขอนแก่น

2) Outperforming Online Shopping   ยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้การ ช็อปปิ้งออนไลน์ไม่มีสะดุด โดยเฉพาะการพัฒนาฟีเจอร์ (Feature) ที่มีความเป็น Unique only at Thaiwatsadu ที่เดียวเท่านั้นผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นไม่ว่าจะเป็น Daily Steel Price Ordering Online: เจ้าแรกในตลาด ที่อัพเดตราคาเหล็กออนไลน์รายวัน สั่งซื้อได้ทันที และมีตัวช่วยในการคำนวนน้ำหนักรวมเหล็ก ช่วยให้ผู้รับเหมาสามารถบริหารจัดการสต๊อกและต้นทุนเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ , Feature Mixed Paint & Calculator: ครั้งแรกในวงการสีเมืองไทย ที่ลูกค้าและผู้รับเหมาสามารถเลือกซื้อสีผสมทาอาคารกว่า 20,000 เฉดสีได้ด้วยตัวเอง รวมถึงสามารถคำนวนปริมาณสีที่ต้องใช้ในพื้นที่ที่ต้องการ และ Tailor Made Curtains Calculator: โปรแกรมสำเร็จรูปที่ช่วยให้การคำนวนผ่าม่านสั่งตัดเป็นเรื่องง่าย สามารถคำนวนความกว้าง ความยาวตามที่ต้องการ มีให้เลือกหลากหลายสไตล์ และเฉดสี พร้อมมีบริการติดตั้งจากช่างมือ 1 vFIX ทั้งนี้ คาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายในช่องทางออนไลน์ได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2571

3) Supply Chain Movement เป็นผู้นำเจ้าแรกในวงการธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง เปิดตัวการใช้รถบรรทุกพ่วงแม่ลูกพลังงานไฟฟ้า (EV Truck) เข้ามาใช้ในการขนส่งสินค้า รองรับการเติบโตของธุรกิจ จึงได้พัฒนาระบบกรีนโลจิสติกส์ (Green Logistics) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในปี 2567 จะเพิ่มจำนวนรวม 80 คัน คิดเป็น 32% จากรถขนส่งทุกประเภททั้งหมด ขนส่งสินค้าได้มากกว่า 700,000 พาเลท ช่วยลดการปล่อยก๊าซ CO2 ถึง 7,000 ตัน ทั้งนี้ แม้ว่าต้นทุนราคารถพ่วง EV Truck จะสูงกว่ารถบรรทุกดีเซล แต่ในระยะยาวจะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง และการดูแลเครื่องยนต์ลดลงได้ถึง 16% ต่อปี

นอกเหนือจากประเด็นดังกล่าวแล้ว ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจฮาร์ดไลน์สีเขียว ตามเจตนารมณ์ของเซ็นทรัล รีเทล ในการเป็น Green & Sustainable Retail ผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

ด้วยกลยุทธ์ CRC’s “ReNEW”  ที่เป็นกรอบการดำเนินงาน 4 แกนหลัก ได้แก่     

1) Re = Reduce Greenhouse Gases ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการติดตั้ง Solar Rooftop ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปี 2566 จำนวน 75 สาขา ส่งผลให้ลดการใช้กระแสไฟฟ้าได้ถึง 40% และในปี 2567 เร่งติดตั้งเพิ่มอีก 15 สาขา ซึ่งจะสามารถผลิตไฟฟ้าสะสมได้มากกว่า 101 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 2.5 ล้านต้น 

2) N = Navigate Society Well-being สร้างสังคมให้น่าอยู่ โดยจัดทำโครงการที่เป็นประโยชน์เพื่อสังคมและชุมชน 11 โครงการครอบคลุม 9 จังหวัด เอื้อประโยชน์ให้กับผู้คนในพื้นที่ไปกว่า 700,000 คน อาทิ การจ้างงานผู้พิการกว่า 100 คนภายในสาขา และศูนย์บริการลูกค้า Contact Center โครงการ “รวมหัวใจให้บ้านเกิด” เปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมตอบแทนชุมชนในภูมิลำเนาของตนเอง

3) E = Eco-Friendly Product and Packaging  ส่งเสริมสินค้า Eco Product และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมร่วมกับผู้ร่วมค้าซึ่งได้รับการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ กว่า 4,000 รายการ

4) W = Waste Management การจัดการขยะมูลฝอยในโครงการ Save World ผ่านแนวคิด 3Rs คือ Reduce, Reuse และ Recycle ที่สามารถนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ได้ และลดขยะได้ถึง 1,117 ตัน



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ