ปูสันติภาพ..ปลายด้ามขวาน "พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์" ไขภารกิจดับไฟใต้

วันพฤหัสบดีที่ 04 เมษายน พ.ศ. 2556

ปูสันติภาพ..ปลายด้ามขวาน


สถานการณ์ "ไฟใต้" ยังคุกรุ่นและคงความรุนแรงไว้อย่างต่อเนื่อง แต่โดยพลันที่รัฐเริ่มปูพรม "สันติภาพปลาย ด้ามขวาน" ด้วยการเปิดโต๊ะเจรจา กับกลุ่มก่อความไม่สงบ "บีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต" ก็ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์ขึ้นมากมาย ทั้งผลบวกและผลลบต่อรัฐบาล

ทว่าภาพเหล่านี้ ยังไปสะกดความรู้สึกของผู้คนให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นจากสถานการณ์ความรุนแรงในรอบ 9 ปีของปัญหาไฟใต้ แต่ก็เป็นเพียงห้วงระยะเวลาอันสั้น เพราะหลังจากนี้ไป "เส้นทางแห่งสันติภาพ" ได้วางทอดยาวไว้แล้ว ขึ้นอยู่กับว่า...จะเอื้อมไปถึงหรือไม่เท่านั้น?!!

ขณะเดียวกัน "ฟันเฟืองชิ้นสำคัญ" ที่นอกเหนือจากหน่วยงานด้านความมั่นคงแล้ว ยังคงต้องกล่าวถึงกองทัพที่มีบทบาทเป็นอันมากต่อการรุกคืบแก้ไขสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอ "กระสุนตก" ในจังหวัดสงขลา

โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของ "เสธ.เมา" พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ที่ช่วยวางรากฐานอันเข้มแข็งต่อแนวทาง "ดับไฟใต้" โดยใช้ประสบการณ์กว่า 36 ปีในพื้นที่สุดเขตด้ามขวานทอง และตลอด 2 ปีครึ่งในบทบาทแม่ทัพภาคที่ 4Ž ที่ได้สร้างคุณูปการไว้อย่างมากมาย

ในวาระที่ .พล.ท.อุดมชัย. เตรียมอำลาตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4...เปิดทางให้ คนใหม่เข้ามาทำหน้าที่สานงานต่อ "สยามธุรกิจ" ได้มีโอกาส "สัมภาษณ์พิเศษ" ถึงทิศทางไฟใต้บนสถานการณ์ที่ลุกโชน และความเป็นไปของปัญหา...!!!

+ ความซับซ้อนของปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

"ปัญหาใน 3 จังหวัดที่ว่าซับซ้อน แต่จริงๆ มันไม่ได้ซับซ้อน...โดยปัญหาบีอาร์เอ็นก็เป็นปัญหาของคน คนหนึ่งที่มาตั้งตนเป็นองค์กรลับเพื่อแบ่งแยกเป็นประเทศอิสระ โดยมีสัญลักษณ์เฉพาะเชื้อ ชาติและความเชื่อ มันจึงไม่น่าจะซับซ้อน แต่เหตุการณ์ความไม่สงบมากมายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เป็นเพราะมันไปเชื่อมโยงกับหลายๆ อย่าง เพราะบีอาร์เอ็นส่วนหนึ่งไป อาศัยฐานด้านเศรษฐกิจจากกลุ่มที่ก่ออาชญากรรม และบีอาร์เอ็นก็ตกเป็นเครื่องมือของ กลุ่มผลประโยชน์ เช่น พวกค้าของเถื่อน มันเลยผูกปัญหาให้กลายเป็นเรื่องซับซ้อน แต่ถ้าแยกปัญหาออกมาจริงๆ มันจะไม่ซับ ซ้อน ซึ่งปัญหาหลักคือการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งมีบีอาร์เอ็นเป็นตัวหลัก"

+ กองทัพคิดอย่างไรกับแง่มุมการเจรจา

"เป็นสูตรทั่วไปในการทำสงครามและ การทำธุรกิจ คือชีวิตประจำวันการเจรจาเป็นเรื่องปกติพื้นฐาน ถ้าไม่ทำคงจะเป็นเรื่องผิดปกติ มันเป็นการเจรจาเพื่อล้วงข้อมูล เจรจาเพื่อความได้เปรียบ เจรจาเพื่อการสมยอม ก็แล้วแต่ที่จะทำเพื่ออยู่ร่วม กันอย่างสันติ มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งผมว่าก็เป็นเรื่องธรรมดาในการดำเนินการเจรจา"

+ การใช้ทหารนำในการแก้ปัญหาคิดว่ามาถูกทางหรือเปล่า

ที่ถามว่าใช้ทหารนำ ความจริงมันไม่ใช่ เพราะในพื้นฐานการทำสงครามของ ฝ่ายที่มีกำลังน้อยซึ่งต่อสู้กับรัฐที่มีกองกำลังมาก วิธีการจะเอาชนะฝ่ายก่อการร้าย มันค่อนข้างจะยากและซับซ้อน แต่โดยธรรมดาของสงครามทุกสงคราม ต้องถูกชี้นำโดยการเมือง จะไม่มีการทหารนำ ต้องกำหนดจากฝ่ายการเมืองให้ชัดเจนก่อนว่า คนพวกนี้เขาต่อสู้เรา เขาไม่พอใจ เขาไม่อยากอยู่เพราะปัญหาประชาชาติ และปัญหาศรัทธาของเขา เพราะฉะนั้นเวลาเรากำหนด แนวทางการต่อสู้ ต้องกำหนดทิศทางในการชนะทางประชาชาติและศรัทธาให้ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องทางการเมือง แต่ในทางการทหารเราเอามาเพื่อจะป้องปรามเพื่อไม่ให้สงครามขยายตัว เพราะฝั่งตรงข้ามใช้วิธีการก่อการร้าย ใช้วิธีอื่นแบบไม่จำกัดและไม่ได้อยู่ในกรอบของกฎหมาย เพราะฉะนั้นการกำหนดทิศทางต้องมาจากฝ่ายการเมืองเพื่อชนะทางจิตใจ ส่วนในทางการทหารเป็นการป้องปรามไม่ให้ขยายวงการที่บอกว่าใช้ทหารนำในการแก้ปัญหามันจึงไม่ใช่...

+ ข้อเสนอกรณีรัฐปัตตานี

เป็นเรื่องธรรมดา แต่ตรงไหนที่เรารับได้หรือรับไม่ได้...คนที่รับนโยบายลงไปต้องไปดู แต่ถ้าถามผมว่าผมเป็นบีอาร์เอ็น ผมก็ต้องเสนอ อย่างเช่นให้ถอนทหาร ปกครองแบบมหานคร มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการ มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขึ้นอยู่กับฝ่ายเราจะมีพื้นฐานการเจรจาอย่างไร

+ 2 ปีครึ่งที่ทำหน้าที่มทภ.4 ทิศทางและสถานการณ์..เปลี่ยนไปอย่างไร

"ผมชี้ได้ว่า รัฐที่เคยถูกกล่าวหาว่าโหดร้ายทารุณใช้ความรุนแรง ผมว่ามันหมดไป ถึงจะมีก็มีน้อยมาก เพราะว่าเป็น นโยบายที่รัฐต้องปฏิบัติภายใต้กฎหมายอย่างจริงจัง และในเมื่อเราปฏิบัติตามกฎหมาย เรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน ทิศทางมันจะชัดเจน นอกจากนี้รัฐยังเปิดโอกาสให้ผู้เห็นต่างได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา โดยการเปิดเวทีเสวนาให้นำเสนอแนวคิด แสดงความคิดเห็น อยากแยกรัฐก็ให้พูดได้ สถานการณ์มันจึงผ่อนคลาย อีก อย่างหนึ่งคือสำหรับผู้ที่เห็นว่าการก่อการ ร้ายไม่ทำให้อะไรดีขึ้น รัฐก็มีทางถอยให้ ไม่ตามเข่นฆ่าไปจนตาย ตรงนี้ทำให้ความ ไว้ใจระหว่างรัฐกับคนพื้นที่เริ่มกลับมา เพราะ รัฐไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ละเมิดกฎหมาย และยังมีการเปิดสภาสันติสุข มีเวทีต่างๆ มากมายให้เขาได้แสดงความคิดเห็น ให้เขาได้ระบาย อย่างนักศึกษาด่ารัฐ ด่ากันโจ๋งครึ่ม เราก็ไม่ว่า แต่อย่าใช้อาวุธก็พอ จากแต่ก่อน ที่ประชาชนเคยด่ารัฐ เริ่มด่าน้อยลง เริ่มหันมาฟัง เพราะเรามีเวทีให้เขาได้แสดงความ คิดเห็นคือ...ผมเห็นทิศทางมันดีขึ้น"

+ แนวทางของรัฐหลังเจรจากับผู้ก่อการร้าย

"ต้องดูว่าการเจรจาหรือการลงนาม เป็นลักษณะใด เพราะการเจรจารอบนี้ไม่ใช่ การเจรจาสันติภาพ แต่เป็นการบันทึกเจต-นารมณ์ของคนส่วนใหญ่ที่จะเข้ามาพูดคุยกัน และรัฐบาลไทยก็ไม่ใช่ผู้เจรจาแต่มอบให้สภาความมั่นคง (สมช.) ซึ่งเป็นคน กลุ่มหนึ่งไปเจรจากับคนกลุ่มหนึ่งคือบีอาร์เอ็น แต่ก็ยังไม่มีการตั้งประเด็น โดยประเด็นหลักๆ คือ ต้องอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญ ผมเองก็เคยพูดถ้าคุณไม่รับรัฐธรรมนูญก็อย่ามาเจรจา ซึ่งวันที่ 28 มี.ค.เป็นการกำหนดกรอบเจรจา ผมคิดว่าคงคุยกันในเรื่องง่ายก่อน ส่วนเรื่องยากเอาไว้ทีหลังโดยมีรัฐธรรมนูญเป็นตัวตั้ง โดยจะทำอย่างไรให้สถานการณ์หลุดพ้นจากความขัดแย้ง"

+ กองทัพอยู่ในกระบวนการเจรจามาโดยตลอดหรือไม่

"ทางทหารมันอยู่ที่กรอบนโยบายแห่งรัฐ กรอบนโยบายจะมีกรอบ 9529 ในข้อที่ 8 พูดถึงการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เกื้อกูลให้ออกจากความขัดแย้งด้วยวิธีรุนแรง การสร้างสภาวะแวดล้อมเตรียมใช้ ม.21 เป็นสภาวะแวดล้อม เปิดให้คนมี ความเห็นต่าง พูดคุยกับคนที่ต่อสู้เบื่อแล้ว กลับบ้าน ที่ผมกล่าวไปนี้มันอยู่ในข้อที่ 8 ซึ่งทหารต้องปฏิบัติตามแนวนโยบายแห่งรัฐที่มาจากประชาชน เรามากำหนดนโยบาย คนพวกนี้ที่มาจากรัฐบาลมันมีความ ต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์ เพื่อไทย หรือรัฐอื่นๆ ล้วนเห็นปัญหาของประชาชน ในต่างมุมมอง แต่โดยพื้นฐานนโยบายจะไม่ทำลายประชาชน ไม่ใช้ความรุนแรงแต่ บังคับใช้กฎหมาย จะเป็นในลักษณะนี้"

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังๆ จะเห็นว่านโยบายทางด้านการทหาร ในช่วงที่ผมทำยึดถือหลัก "การเมืองนำการทหาร" ปฏิบัติการทุกครั้งจะต้องได้ใจประชาชน ถ้าเราไม่ได้ใจประชาชนเราจะไม่ทำ เช่นการปิดล้อมตรวจค้น คือถ้าฆ่าตายก็เท่ากับได้ใจประชาชนส่วนใหญ่แน่ นอน แต่ถ้าไม่ฆ่าไปเอากำนัน ผู้ใหญ่ พ่อแม่พี่น้องของเขามาพูดคุย เราก็จะได้ใจพวกเขาส่วนหนึ่ง เราต้องชั่งน้ำหนัก แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่คนพวกนี้ยอมรับได้ก็คือถ้าเขาใช้อาวุธกับเราก่อนเราก็ใช้อาวุธ เขาก็ยอมรับในส่วนนี้ แต่คนเราก็ยังมีความเคียดแค้น ผมหลีกเลี่ยงประเด็นนี้ในการที่จะใช้อาวุธกับเขา เพราะฉะนั้นนโยบายการทหารก็ทำเพื่อป้องปรามไม่ได้มุ่งการทำลายเป็นหลัก ยึดถือว่าเราทำไปแล้วต้อง ได้ใจประชาชน แต่นโยบายด้านการทหาร อีกอันก็คือสิ่งใดที่การจัดการทางทหารแล้ว เกิดผลกระทบเชิงลบต่อพี่น้องประชาชน เราจะหลีกเลี่ยง

ในอีกประการหนึ่งการทหารมันเป็น การใช้ชั่วคราว มันไม่ได้มุ่งไปสู่การนำอำนาจรัฐในส่วนอื่นเข้ามา เพราะทหารไม่ ได้มีครบในทุกองค์กร มันต้องทำแบบเป็ด ต้องนำอำนาจรัฐใน 17 กระทรวง 66 หน่วยงานเข้ามาดำเนินการให้ได้ ขณะนี้ไม่มีการ ดำเนินการในพื้นที่ 4 อำเภอ เพราะว่าสถานการณ์มันเบาบางลง เราก็พยายามที่จะให้นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้ามาใช้อำนาจรัฐ มาใช้งานทางด้านการพัฒนา แต่เราก็ยังหนุนเสริมในด้านการจัดการ

+ ข้อเสนอเรื่องนิรโทษกรรม

"มันมีจุดยืนชัดเจน จุดยืนแห่งรัฐ หรือถ้าพื้นที่ดีขึ้น สถานการณ์ดีขึ้น ลดระดับความรุนแรงลง ก็จะยกเลิกกฎหมาย พิเศษ แล้วนำกฎหมายความมั่นคงมาใช้ ก็คือการประกาศใช้ ม.21 โดยใน ม.21 มันเป็นกฎหมายที่ให้อภัยซึ่งกันและกัน คนที่ก่อเหตุโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แล้วกลับมาให้ประโยชน์ต่อรัฐเพื่อความสงบ คนที่ถูกกระทำก็จะได้รับการดูแลเยียวยา ถ้าไม่เข้าองค์ประกอบนี้ก็จะเป็น ป.วิ อาญา ตามปกติ ถ้าหากเข้าองค์ประกอบนี้ก็จะมีการสืบสวนสอบสวน มีการเยียวยา มีการดำเนินกรรมวิธีมา แล้วผู้อำนวยการรักษา ความมั่นคงภายใน ถึงจะมอบให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ลงนาม ให้อัยการ จากนั้นอัยการก็ส่งให้ศาล และศาลก็ยังจะถามผู้ที่ก่อเหตุอีกว่ายินดีเข้ามาตรา 21 หรือไม่ ถ้าไม่ยินดีก็ต้องกลับไป ป.วิ อาญา เหมือนเดิม แต่ถ้ายินดีศาลก็ยังวินิจฉัยตามข้อเสนอของ กอ.รมน.ภาค 4 ว่าจะให้เข้าฝึกอบรมไม่เกิน 6 เดือน หรือบางคนก็อาจมี 4 เดือน หลังจากนั้นคดีตาม ความผิดที่มีก็จะหมดไป อันนี้จึงเป็นกฎหมาย ที่ให้อภัยและคุ้มครอง ถือเป็นนิติศาสตร์ในเชิงรัฐศาสตร์"

+ นอกจากเกลียดและเคียดแค้นบีอาร์เอ็นมีการเมืองหรือไม่

"เป็นพรรคการเมืองนี่แหละ แต่ใช้อาวุธเดินไปสู่การได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ นั่นคือการเป็นรัฐอิสระ เขาอยู่ภายใต้เราไม่ได้ เขาจึงสอนลูกหลานว่าสยามมาทำลาย เป็นเงื่อนไขทำให้คนสู้ ทำให้คนเป็นแนวร่วมทางความคิด สยามมาทำลายมลายูที่ยิ่งใหญ่ และมาทรมานบรรพบุรุษมลายูไป ทำให้คนมลายูเป็นแนวร่วมทางความ คิดที่จะเข้าร่วมต่อสู้ พอแนวร่วมทางความ คิดอุดมการณ์ชาตินิยม ก็จัดตั้งคนกลุ่ม ยังไม่เป็นแนวร่วมทางความคิด แต่จัดตั้งกองกำลังเฟ้นเข้าไป ไอ้กองกำลังนี้เข้าไปสู้ เกลียดแค้นชิงชัง มันเป็นขั้นๆ การต่อสู้ บางทีเราจะต้องเข้าใจ"

+ มีข่าวรัฐบาลวางเป้า 2-3 ปีต้องยุติ..

"ก็เหมือนคน ถ้าไม่ตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจนมันก็เหมือนคนเลื่อนลอย ทิศทางจะไปยังไงก็ได้ ใครเข้ามาก็เรื่อยๆ มันต้อง ถูกประเมิน 2 ปี มีประชาคมอาเซียน ต้องยุติให้ได้ แต่ก่อนนี้มาเลเซียไม่ยอมรับว่ามี แต่ตอนนี้มาเลเซียยอมรับแล้ว มันก็เป็น สิ่งที่ดีใช่ไหม อย่าติเรือทั้งโกลน ใครคิดจะทำอะไร ประเทศไทยโดน ไม่ว่าประชาธิปไตย หรือใครมา เราก็สนับสนุนการดำเนินงานในการแก้ไข"

+ แนวที่เดินมา พอ มทภ. 4 เปลี่ยนคน แล้วยังเดินต่อหรือไม่

"ผมว่ามันเดินอยู่แล้ว เพราะสิ่งที่บอกว่าประสบการณ์ ทักษะ องค์ความรู้ที่เราสั่งสมมา อยู่ดีๆ จะมาทำลายเฉยๆ ใช้กำลังทหารบุกเข้าปิดล้อม ฆ่าจนราบเป็นหน้ากลองมันก็ทำไม่ได้ เพราะทหารจะ ทำอย่างนั้นไม่ได้ ทหารก็มาจากประชาชน คือปัญหาสมัยก่อน 3 จังหวัดมันทำให้คนไม่ได้เป็นข้าราชการ เพราะว่าไปเรียนทาง ด้านศาสนาเป็นหลัก องค์ความรู้ด้านสามัญ มีน้อย แต่ปัจจุบันมันขยับควบคู่กันไป ซึ่งคนเหล่านี้จะเป็นคนไทยใน 3 จังหวัดที่พัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ พัฒนาตัวเอง ได้ เพราะคนมีองค์ความรู้ โดยศาสนาอิสลามก็สอนให้มีองค์ความรู้ครบด้าน ไม่ใช่ มีความรู้ทางด้านศาสนาเพียงอย่างเดียว ปัญหามันจะได้คลี่คลาย เมื่อคน 3 จังหวัด มาเป็นทั้งทหาร ตำรวจ เป็นข้าราชการพลเรือน มันจะต่อสู้กับใคร เพราะมันก็จะนำไปสู่แนวทางที่ทุกคนต้องการคือระบอบ ประชาธิปไตย ถูกไหม.."

+ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา... การแก้ไขปัญหาใต้มาถึงจุดไหนแล้ว

"ผมว่า เข้าใจปัญหา เข้าใจภารกิจ เข้าใจผู้ที่ก่อเหตุ เข้าใจประชาชน พอเข้าใจก็ต้องไปถึงเรื่องการเข้าถึง เข้าถึงประชาชน เข้าถึงปัญหา แล้วก็พัฒนาอย่าง เป็นระบบ เป็นกระบวนการ เพียงแต่เราบอกว่าเราเข้าใจ มันเป็นตัวความรู้สึก ตัวความรู้ เราต้องเข้าไปให้ถึงตัวปฏิบัติ แล้วก็วางระบบ มันเริ่มเดินไปอย่างนั้น เริ่มเดิน ไปตามยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักในการแก้ปัญหา"


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ