สถาบันพระปกเกล้า เปิดแบบประเมินปชต. ดันมาตรฐานสู่สากล

วันจันทร์ที่ 08 เมษายน พ.ศ. 2556

สถาบันพระปกเกล้า เปิดแบบประเมินปชต. ดันมาตรฐานสู่สากล


สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้าเปิดตัวหนังสือแปล "การประเมินคุณภาพประชาธิปไตย : คู่มือปฏิบัติ" ซึ่งแปล มาจาก "หนังสือ Assessing the Quality of Democracy : A Practical Guide" เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับการประเมินคุณภาพประชาธิปไตยของประเทศต่างๆ

โดยแบ่งกรอบแนวคิดในการประเมินคุณภาพประชาธิปไตยที่ผ่านการประยุกต์ใช้มาแล้ว 20 ประเทศ ว่า มี 4 กรอบแนวคิดคือ 1.ความเป็นพลเมือง กฎหมายและสิทธิ 2.การเป็นรัฐบาลที่เป็นตัวแทนและมีสำนึกรับผิดชอบ 3.ประชาสังคมและการมีส่วนร่วม ของประชาชน 4.ประชาธิปไตยที่ไปไกล กว่าคำว่ารัฐ ทั้งนี้ การประเมินคุณภาพ ประชาธิปไตยต้องครอบคลุมในทุกภาคส่วนทั้งสถาบันการเมือง ภาคประชาสังคม สื่อมวลชน หรือข้าราชการ

ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ได้ยกตัวอย่างการประเมินคุณภาพประ- ชาธิปไตยของประเทศไทย โดยใช้ตัวชี้วัดย่อยคือ ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อเจ้าหน้าที่รัฐและการบริการสา-ธารณะว่าปลอดจากการคอร์รัปชั่น มากน้อยเพียงใด ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่จัดทำ โดยสถาบันพระปกเกล้าเมื่อปี 2555 พบว่า ประชาชน 64.5% ไม่ยอมรับการทุจริต ในรัฐบาลเพื่อให้งานลุล่วง ประชาชนส่วน ใหญ่เชื่อว่ามีการทุจริตในวงราชการ และประชาชนบางส่วนพบการคอร์รัปชั่น การ รับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งนำมาสู่ข้อสรุปว่า การทุจริตบั่นทอนกระบวนการประชาธิปไตย

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการ สถาบันพระปกเกล้า เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรมีกระบวนการประเมินคุณภาพประชาธิปไตยอย่างจริงจัง แต่ไม่คิดว่าฝ่ายรัฐบาลควรจะเป็นเจ้าภาพเพราะ อาจเป็นที่คลางแคลงใจจากสังคม แต่ทั้งนี้ ควรดึงประชาชนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วน ร่วมไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ สื่อมวลชน ภาคประชาสังคมต่างๆ เพื่อให้รัฐบาลเห็น ความสำคัญและให้การสนับสนุน และฝ่าย ที่ถูกประเมินก็ควรที่ต้องยอมรับผลการประเมิน เพื่อนำไปปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น หรือนำไปสู่การปฏิรูป ทั้งนี้สถาบันพระปกเกล้ายินดีเชิญภาคส่วนต่างๆ มาช่วยกันทำให้ประเด็นสำคัญๆ ที่ใช้ชี้วัดคุณภาพ ประชาธิปไตย เกิดผลขึ้นจริงในสังคมไทย

ด้านศ.ดร.สุจิต บุญบงการ อดีตประธานสภาพัฒนาการเมือง และอดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัย กล่าวว่า การประเมินคุณภาพประชาธิปไตยอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แต่ควรนำประเด็นที่ใช้ประเมินมาขยายผล เพิ่มเติม เช่น จัดเสวนาหรือศึกษาวิจัยในเชิงลึกด้วย นอกจากนี้ ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งจริงๆ จะต้องพูดถึงความเป็นพลเมือง (Citizenship) ซึ่งจะนำมาสู่การ มีส่วนร่วมทางการเมือง (participation) ที่เข้มแข็งด้วย

นอกจากนี้ อ.สุจิต ยังแสดงข้อคิดทางการเมืองในช่วงนี้ว่า สถานการณ์ความ ขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองในปัจจุบัน และหลักการเคารพเสียงข้างมากตามระบอบประชาธิปไตย

"สำหรับความขัดแย้งทางการเมือง ในปัจจุบัน ผมคิดว่าสังคมไทยและประชาธิปไตยไทยได้พัฒนามาถึงจุดที่ว่า เราไม่สามารถให้คนมีความคิดหรือความเชื่อทาง การเมืองที่เหมือนกันได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อ ก่อนนี้เราอาจจะมองว่าคนไทยเป็นอนุรักษนิยม คือไม่ได้มีความคิดอะไรที่ก้าวหน้าไปมากมายนัก"

ลัทธิสังคมนิยมเข้ามาในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่มันมาเร็วเกินไปจึงถูกตีตกเพราะว่าคนทุกระดับ ไม่ค่อยรับ อาจจะมีคนระดับนักวิชาการบางคนที่รับ แต่เดี๋ยวนี้เราทำท่าจะเหมือน ประเทศตะวันตกที่เราสามารถแบ่งได้ว่า คนนี้มีความเชื่อแบบขวา คนนี้กลางขวา คนนี้กลาง คนนี้กลางซ้าย คนนี้ซ้าย สามารถแบ่งได้ว่าคนไหนหัวก้าวหน้า คนไหนอนุรักษนิยม เป็นเพียงว่าบางคนไม่รู้ตัว ว่าคิดยังไง หรือบางคนไม่รู้ว่าที่ตัวเองเชื่อ นั้นเชื่อด้วยใจจริงหรือเชื่อเพราะถูกหว่านล้อมอย่างไรก็ตาม ให้อยู่ด้วยกันอย่างมีกติกา ไม่ใช่จะมาใช้กำลังประหัตประหารกัน อย่างขณะนี้ที่กำลังใช้ "กำลังสื่อ" เข้าประหัตประหารกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อสังคมมันมีความซับซ้อน การจะเปลี่ยนอะไรบางอย่างเพื่อจะเอาใจคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดมันไม่ง่ายเพราะว่าสังคมไทยเริ่มมีการแบ่งประโยชน์ตามกลุ่มตามอาชีพ

อย่างการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้ง ล่าสุด มันเริ่มเห็นความต่างระหว่างสิ่งที่คนกรุงเทพฯคิด กับสิ่งที่คนข้างนอกคิด มันเป็นไปได้แล้ว เพราะว่านี่คือสังคม ที่มันต้องเป็นอย่างนั้น เราไปจัดเขตเลือกตั้งปนกัน เพราะบังเอิญสังคมไทย ไม่มีการแบ่งว่าที่ไหนเป็นเขตชนชั้นกลาง เขตกรรมกร เขตชาวนา เขตชนบท หรือเขตพ่อค้า แต่ประเทศตะวันตกจะแบ่งโดยตัวของมันเอง ดังนั้นเขตเลือกตั้งจะบอกว่าเขตนี้เป็นเขต กรรมกร เขตนี้เป็นเขตนักอุตสาหกรรม เขตนี้เป็นเขตคนเมือง อย่างในอเมริกา เขตชนบทก็จะเป็นอนุรักษนิยมเลยไม่สนใจโลกภายนอก สนใจแต่อยากให้ ราคาผลผลิตของตนและพวกพ้องสูงขึ้น หรือเขตนิวยอร์กก็เป็นเขตนักธุรกิจตาม แนวคิดพรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค คือพรรคเป็นแบรนด์ นักการเมืองเป็นสินค้า!!

ทีนี้เขตเลือกตั้งของไทย ต่างจังหวัดเราแบ่งปนกัน คนที่เป็นชนชั้น กลางจะอยู่เขตเดียวกันคนระดับล่าง ซึ่งจำนวนมากเป็นชาวไร่ชาวนา ดังนั้นพอถึงเวลาเลือกตั้ง ชนชั้นกลางแพ้ เขตเลือกตั้งของไทยจึงไม่เป็นตัวแทนของระดับความแตกต่างเชิงอาชีพและผลประโยชน์ ซึ่งสอดคล้อง กับแนวคิดของ "อ.เอนก เหล่าธรรมทัศน์" ที่บอกว่าคนชนบทตั้งรัฐบาล คนในเมืองล้มรัฐบาล เพราะคนในเมืองรู้ว่ายังไงๆ ก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะเมื่อวัดคะแนนเสียงแล้วแพ้ชนบททุกที เพราะเนื่องจากเขตเลือกตั้งถูกครอบ ครองโดยคนชนบท


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ