ตำรับ.. "รบ.ถนัดกู้" ปชป.แผ่นเสียงตกร่อง เขวี้ยงงูไม่พ้นคอ?!!

วันจันทร์ที่ 08 เมษายน พ.ศ. 2556

ตำรับ..


ไม่เกินคาดเดาที่ว่า...อุณหภูมิการเมืองในห้วงเดือนเมษายนคงจะร้อน จนถึงขีดสุด?!!

ท่ามกลางสถานการณ์น่าเป็นห่วง จากหลายเงื่อนไขทางการเมืองที่ประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน โดยเฉพาะ "สารพัดม็อบ" ที่รอการเป่านกหวีดออกมาเคลื่อนไหวเขย่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งในคดีเขาพระวิหารที่ต้องไปลุ้นเหนื่อยในศาลโลก หรือจะเป็นเส้นทางสู่สันติภาพในแดนมิคสัญญีชายแดนใต้ ที่มี "สายเหยี่ยว" และนักเคลื่อนไหวหลายกลุ่ม ออกมาโต้แย้งต่อแนวทางแก้ปัญหาของรัฐบาล และหน่วยงานความมั่นคง

แต่เรื่องที่ดูน่าหนักใจสำหรับรัฐบาล คือแนวปะทะของ "องค์กรอิสระ" ที่มีทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือไปสุดที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังมีการหยิบยกกรณี "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" เคยปล่อยกู้ให้สามีนอกสมรส แล้วไม่ได้แจ้งในบัญชีทรัพย์สิน โดยในแผน "ทุบกระดองปู" ที่ว่ามานี้...แค่ชี้ว่าเข้าข่ายความผิด "นายกรัฐมนตรี" ก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่แล้ว

ขณะที่ปมโหวตแก้รัฐธรรมนูญ "วาระ 3" รวมไปถึงกฎหมายนิรโทษกรรม ก็มีแนวโน้มสูงยิ่งว่า จะถูกยืดเวลาออกไปจนกว่าทุกอย่างจะสุกงอม เพราะหากยังดึงดันเดินหน้าต่อไป ย่อมส่ง ผลลบต่อรัฐบาลเป็นอย่างมาก

ฉะนั้นทุกเรื่องราวจึงล้วนเป็นปัจจัยที่พร้อมจะขับเคลื่อนพลังทั้งในและนอกระบบ ซึ่งแน่นอนว่า "รัฐบาล" ย่อมเผชิญวิกฤติใหญ่เป็นแน่...

+ ปมซักฟอกเงินกู้

อีกเรื่องที่ได้สร้าง "แรงกระเพื่อม" โดยตรงต่อรัฐบาล เห็นจะเป็นการเดินหน้า พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ... " ตามคอนเซปต์ " ไทยแลนด์ 2020 ก้าวใหม่เชื่อมไทยสู่โลก หลังการเคาะในวาระแรก "ขั้วฝ่ายค้าน" ได้พยายามเปิดเกมซักฟอกเงินกู้ในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเข้มข้น

ส่งผลให้ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ต้องรีบหาทาง "พลิกกระดาน" แม้ว่าจะผ่านเสียงโหวตในสภา แต่การรุกไล่ "นอกสภา" ก็มีการปลุกเร้ากระแสในทางสังคมว่า ...จะทำให้คนไทยเป็นหนี้ยาวไปอีก 50 ปี ตามมุกที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามยกมาเป็นชนวนเหตุ ขณะที่กลุ่ม 40 ส.ว. ก็รับมุกทันควัน เตรียมแทงประเด็นเข้าสู่ "ศาลรัฐธรรมนูญ" เพื่อวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่...

เช่นที่ว่านี้การเล็ง "กู้แหลก" แบบบิ๊กล็อตกว่า 2 ล้านล้านบาท นั้น ย่อมทำ ให้รัฐบาลเคลียร์ตัวเองได้ยากลำบากมากขึ้น สวนทางกับคอนเซปต์ ไทยแลนด์ 2020Ž ที่ให้อารมณ์ในการมองไปข้างหน้า หรือเป็นเรื่องของอนาคตที่ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาให้ทันกระแสโลก โดยเฉพาะการรองรับความเป็นศูนย์กลางของ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน...!!!

ว่าไปตามปฏิทินที่รัฐบาลวางเอาไว้ ทั้ง พ.ร.บ.เงินกู้วงเงิน 2 ล้านล้านบาท รวมไปถึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 คงต้องจัดการให้แล้วเสร็จ ในเดือนกันยายนศกนี้ ซึ่ง "หัวขบวนตึกไทยคู่ฟ้า" ย้ำหัวตะปูว่า...ทำเพื่อสร้างอนาคตของประเทศไทย

ล่าสุด "ยิ่งลักษณ์" ได้แจงเหตุผลว่า "รัฐบาลตั้งใจพัฒนาให้ประเทศเจริญก้าวหน้า จำเป็นต้องเสนอการลงทุนขนาดใหญ่ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หลังจากปัจจัยการเมืองที่มีความขัดแย้ง ในปี 2549 ทำให้ประเทศมีการพัฒนา ถดถอย และไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง..."

ในทางตรงกันข้าม พรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่าง "ประชาธิปัตย์" ก็พยายามปลุกเร้ากระแสสังคม ด้วยการยกวิวาทะที่ว่า "รัฐบาลกำลังสร้างหนี้ก้อนโตให้ประชาชน" แต่กระนั้นคงพูดไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ เพราะยังมี "ชนักติดหลัง" ในสมัยที่ตัวเองเป็นรัฐบาล

เหล่านี้ย่อมทำให้การอภิปรายที่ผ่าน มาดูจืดชืดในเนื้อหา เพราะสมัยรัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ได้มีการกู้เงินไปกว่า 8 แสนล้านบาท กระทั่งโดนฝ่ายตรงข้ามงัดมุกเอาคืนว่า...สารพัดโครงการ ภายใต้ยี่ห้อ "ไทยเข้มแข็ง" มีรายการโกงสะบัดช่อ ทั้งปมทุจริตสร้างโรงพักทดแทน ฮั้วจัดซื้อครุภัณฑ์ หรือแม้แต่ทุจริตชุมชนพอเพียง ที่ทำเอา "กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ" ต้องรีบไขก๊อก! หนีร้อนจากเก้าอี้รองนายกฯ คุมเศรษฐกิจ

แต่เหนืออื่นใด อาการค้านไม่ได้เต็มปาก...ขย้อนไม่เต็มเสียงนี้ ก็เปิดช่อง ให้ "รัฐบาลเพื่อไทย" ดิ้นหนีจากมุมอับ ไปได้ โดยใช้ความเชี่ยวกรากในเชิงบริหาร บวกเกมการตลาด เดินหน้าเข็นเม็ดเงิน มหาศาลเป็น "ต้นทุน" ผลักดันอภิโปรเจกต์ที่หวังจะได้ทั้งเงินทั้งกล่อง...

+ "มิยาซาว่า..แพลน"

เมื่อมีการแฉเงื่อนประเด็น "กู้แหลก" มาเขย่ากันทั้งในและนอกสภา ทางฝ่ายประชาธิปัตย์ที่เคยเป็นรัฐบาลมาหลายสมัย ย่อมจะเข้าใจกลไกการบริหารจัดการ งบประมาณรายจ่ายอย่างแน่ชัด ตลอดจน การวางกรอบ "กู้เงิน" ที่น่าจะรู้แบบเช็ดเม็ด...ทั้งในยุค "ชวน หลีกภัย" และยุค "อภิสิทธิ์"

โดยใน รัฐบาลชวน 2Ž มีการกู้เงิน มาลงทุนสร้างงานตาม "โครงการมิยาซาว่า" วงเงิน 53,397.9 ล้านบาท ซึ่งครั้งนั้นรัฐได้ออกมาตรการใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยมุ่งที่ภาคการผลิต อาศัยเงินกู้ จากต่างประเทศ เพื่อเพิ่มรายจ่ายภาครัฐในปีงบประมาณ 2542-2543

ทว่าจากการประเมินผลโดยหน่วยงาน OECF ของประเทศญี่ปุ่นเอง กลับพบว่าผลลัพธ์จาก "เงินกู้มิยาซาว่า" ได้ผลน้อยมาก และไม่มีแรงส่งพอที่จะทำให้เกิดดุลยภาพทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ ได้ เพราะมีปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในทุกขั้นตอนของการบริหารและการจัดการ เม็ดเงิน ตลอดจนการใช้จ่ายเงินกู้ในโครงการโดยไร้ซึ่งกลยุทธ์หรือทิศทางที่มีประสิทธิภาพ

+ ชวน 2ž ต้นตำรับกู้..สะบัดช่อ!

น่าสังเกตอีกว่า ในช่วงปี 2541... "รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์" ก็เป็น "ต้นตำรับ" ในการออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวง การคลังกู้เงินมาแก้ปัญหากองทุนฟื้นฟูฯ ในวงเงินมหาศาลกว่า 5 แสนล้านบาท โดย ภาระชำระหนี้ก้อนนั้น ระบุชัดเลยว่า มาจาก 3 ทาง ได้แก่ 1.กำไรสุทธิของแบงก์ชาติในแต่ละปี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90... 2.เงินรายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และ 3.ดอกผลของกองทุนฟื้นฟูฯ

ยิ่งไปกว่านั้น หลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ฟองสบู่แตก ได้เกิดแนวคิดการแก้ปัญหาสถาบันการเงินโดยการจัดตั้งองค์การเพื่อ การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ "ปรส." ซึ่งทำให้ประเทศชาติเสียหายไปอย่างมหาศาล เพราะมีการเร่ขายสินเชื่อที่อยู่อาศัยของ 56 สถาบันการเงินที่ถูกปิด กิจการ มูลค่า 851,000 ล้านบาท และนำไปประมูลขายเพียง 190,000 ล้านบาท พร้อมกำหนดหลักเกณฑ์เอื้อประโยชน์ให้เอกชนและหลบเลี่ยงภาษี โดยที่คดีดังกล่าวก็กำลังจะหมดอายุความในวันที่ 21 มิถุนายนศกนี้

ซึ่งแต่เดิมนั้น ปรส.ในสมัยของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้สั่งปิด 56 ไฟแนนซ์ และตั้ง ปรส.ขึ้นมา เพื่อแยกหนี้ดี-หนี้เสียออกจากกัน แล้วค่อย ประมูลขาย เพื่อปลดล็อกสินทรัพย์ทั้งหลาย ที่ถูกแช่แข็งอยู่ ออกมาหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์อย่างรวดเร็วและโปร่งใสที่สุด ซึ่งสินทรัพย์ดีจะขายได้ในราคาที่ดีกว่าโดยใช้วิธีประมูล อีกทั้งช่วยเหลือผู้ฝากเงิน และเจ้าหนี้ที่สุจริต โดยเฉพาะกองทุนเพื่อ การฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ในสัดส่วน 87.54% และเพื่อชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ไม่สามารถฟื้นฟูกิจการได้

ขณะที่ในทางปฏิบัติสมัย "รัฐบาลชวน 2" เข้ามาบริหารประเทศนั้น มีการตั้งข้อสังเกตว่า "กระทำขัดต่อวัตถุประสงค์ ของกฎหมาย" ที่มุ่งแก้ไขระบบสถาบันการเงินด้วยการฟื้นฟูฐานะของบริษัทที่ ถูกระงับการดำเนินการ ไม่ได้มีการแยกสินทรัพย์ดีและเสีย จนทำรัฐเสียหายกว่า 8 แสนล้านบาท เกิดความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้ต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์โดยมิชอบ

จนกลายเป็นว่า "รัฐบาลชวน 2Ž ซึ่งขณะนั้นมี "ธารินทร์ นิมมานเหมินท์" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงขั้นว่า "ขายชาติ.." หลังจากออก "กฎหมาย 11 ฉบับ" เพื่อมาอุ้มสถาบันการเงินที่ล้มบนฟูก พร้อมก่อหนี้สาธารณะแก่ประเทศชาติ เป็นมูลค่ามหาศาล ด้วยการกู้เงินจาก "กองทุนการเงินระหว่างประเทศ" หรือ IMF"

ทั้งหมดทั้งปวง คือข้อเปรียบเทียบและความเป็นไปของ "มหกรรมกู้แหลก" ที่กลายเป็น "สูตรสำเร็จ" ของทุกรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ เพราะนอกจากจะ มีเม็ดเงินสะพัดเข้ามาแล้ว ยังเป็นการสร้าง มูลค่าเพิ่มในทางการเมืองให้กับรัฐบาลนั้นๆ

เช่นที่ว่านี้ เมื่อ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" เตรียมกู้เงินก้อนโตเพื่อใช้เดินหน้าอภิโปรเจกต์ ก็เป็นเหตุผลให้ "ฝ่ายตรงข้าม" ต้องหันมาเล่นเกมแรง โดยพุ่งเป้า 4 ประเด็นใหญ่ ทั้งปมขัดรัฐธรรมนูญ-ความจำเป็น ในการกู้-ความเหมาะสมของโครงการและส่อเค้าลางทุจริตหรือไม่...เพราะต้องไม่ลืมว่า เมื่อพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาท ของรัฐบาลเดินหน้าไปได้...ไม่เพียงจะพลิก โฉมประเทศครั้งใหญ่เท่านั้น หากแต่ยังจะ ทำให้พรรคเพื่อไทยสยายปีกในทาง การเมืองและครองอำนาจในรัฐบาลได้อย่างยาวนาน โดยมีผลงานชิ้นโบแดง เป็นตัวขับเคลื่อน

และยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ "ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล" ที่เดินเกมทั้งในและนอกสภา ต้องงัดทุกกระบวนท่า หาทุกวิถีทางเพื่อล้มหมากกระดานนี้ให้ได้ หรือก็คือการแช่แข็งประเทศไทย... ด้วยเหตุผลในเชิงอำนาจ?!!!


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ