ชำแหละ!..เกมลึก ปมแก้รธน."รายมาตรา"

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

ชำแหละ!..เกมลึก ปมแก้รธน.


การเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดำเนินไปท่ามกลางการจับตาของหลายฝ่าย โดยล่าสุดได้ถูกนำเสนอร่างแก้ไขจากทั้ง ส.ส.ในฝ่าย รัฐบาล และกลุ่ม ส.ว.เลือกตั้ง รวมทั้งสิ้น 3 ฉบับ ซึ่งมีแนวทางอันเดียวกันในการแก้ไข "เป็นราย มาตรา"

มีนัยสะท้อนว่า..เพื่อเป็นการลดกระแส คัดค้าน และหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาว่ามีความพยายามฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 รวมทั้งอาจเป็นการเลี่ยงบาลีการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าจะเป็น การแก้ไขเฉพาะในมาตราที่มีความจำเป็นสำคัญเท่านั้น อย่างเช่นมาตรา 117 มาตรา 190 และมาตรา 237

โดยในส่วนของมาตรา 190 และมาตรา 237 นั้น ค่อนข้างเป็นที่เข้าใจตรง กันทุกฝ่ายว่า "..ควรจะได้รับการแก้ไข" กล่าวคือในส่วนของมาตรา 190 ที่เป็นบทบัญญัติว่าด้วยเรื่องการลงนามสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับต่างประเทศในเรื่องสำคัญๆ ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐนั้น ก็เป็นที่กังวลว่าจะทำให้ประเทศเสียเปรียบในการเจรจากับนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่าด้วย การค้า หรือเรื่องทางด้านความมั่นคง

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เกี่ยวข้องหลายคนก็ไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาใหญ่ อย่างเช่น "ชุติมา บุณยประภัศร" อดีตอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ก็กล่าวไว้ใน ขณะดำรงตำแหน่งว่า ในฐานะผู้ปฏิบัติการ ทั้งในฝ่ายข้าราชการ หรือหน่วยงานอื่นๆ นั้น "มาตรา 190" ของรัฐธรรมนูญอาจทำให้เกิดความติดขัดในการเจรจาบ้าง

"มาตรา 190 ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงกับการเจรจา แต่มีความ บีบรัดมากขึ้น และคู่เจรจาของเราเช่นกรณี การเจรจาในกรอบอาเซียน-สหภาพ ยุโรป ก็เข้าใจในกระบวนการตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญมาตรานี้ดี"

นอกจากนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบันที่รัฐบาลมีการกู้เงินจากต่างประเทศมากเป็น ประวัติการณ์ ก็อดที่จะทำให้เกิดความหวาดระแวงไม่ได้ว่าการแก้มาตรา 190 อาจ จะทำให้รัฐบาลสามารถเดินหน้า "พ.ร.บ. เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท" โดยไม่ต้องรายงานให้ที่ประชุมรัฐสภารับทราบ และอาจจะไม่ได้ถูกตรวจสอบให้เกิดความถูกต้อง เหมาะสม หรือช่วยกันพิจารณาให้รอบ คอบก็เป็นได้

ขณะเดียวกัน ทางพรรคประชาธิปัตย์ และ "ฝ่ายโค่นล้ม" ย่อมเล็งเห็นผลในอีกแง่มุมหนึ่ง หากสามารถ "ถ่วงรั้ง" การเดินหน้าแก้ไขมาตรา 190 นี้ได้ เพราะเงื่อนไขใน "มาตรา 190" ยังสามารถเข้าไป "ทัดทาน" การใช้เงินกู้ก้อนมหาศาลนี้ได้ เพราะเมื่อเป็นงบประมาณที่จะนำมาพัฒนาในเชิงโครงสร้างหลักของ ประเทศ มันย่อมเกิดการเจรจาและเกิดการทำสนธิสัญญาขึ้นมาแน่นอน

เหนืออื่นใด "มาตรา 190" ยังเกี่ยวเนื่องไปถึงกรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชาในพื้นที่ทับซ้อนรอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งการ วิวาทะในประเด็นอันละเอียดอ่อนในมาตรา นี้ น่าจะสร้างความสั่นคลอนต่อเสถียรภาพ รัฐบาลได้มากกว่าและสอดรับกับการที่คู่พิพาททั้งสองฝ่าย ได้นัดให้ถ้อยแถลงเรื่อง ปราสาทพระวิหารในศาลโลกที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในห้วงเมษาร้อนนี้ นั่นยิ่งทำให้ร่างแก้ไข มาตรา 190 ได้ถูกหลายฝ่ายจับตามองยิ่งขึ้น

แต่เดิมในรัฐธรรมนูญ "มาตรา 190" บัญญัติไว้ว่า "หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ หนังสือ ดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน จากนั้นหากต้องมีการทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศให้มีผลผูกพัน ก็ต้องมาให้รัฐสภาเห็นชอบกรอบ การเจรจาก่อนอีกครั้ง"

ขณะที่ร่างแก้ไขมาตรา 190 นั้น ได้เสนอแก้ไขเป็นแค่ว่า "หนังสือสัญญาใดที่มีผลเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐหรือต้องออกเป็น พ.ร.บ.เพื่อให้การเป็นไปตามสัญญา ต้อง ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา"

เท่ากับว่า ต่อไปการจะไปเจรจาความ ใดๆ กับต่างประเทศที่เข้าข่ายมาตรา 190 ฝ่ายบริหารเช่นรัฐบาลหรือกระทรวง การต่างประเทศสามารถทำได้เลย ไปตกลง ได้ก่อน แต่ตกลงกันแล้วก็ต้องเอาเรื่องมาให้รัฐสภาเห็นชอบ หากรัฐสภาเห็น ชอบก็มีผลบังคับใช้ แต่หากรัฐสภาไม่เห็น ชอบ ข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่มีผล ซึ่งจะเป็น การแก้มาตรา 190 ที่เหมือนกับรัฐธรรมนูญ ปี 2540

โดยพบว่าในบรรดาทั้ง 3 ร่างดังกล่าว อีกทั้งคนที่เดินเรื่องคือ ประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี ผู้กว้างขวางแห่งสภาสูง มี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และ ส.ว.ร่วมลงชื่อมากสุดถึง 314 คน ซึ่งตาม รหัสตัวเลขจากการโหวตเห็นชอบ ในวาระแรกที่ออกมานั้น เสียงค่อนข้างแน่น เมื่อเทียบกับ "กึ่งหนึ่ง" ของสมาชิกรัฐสภา กระนั้นแม้ทางฝ่ายค้าน จะยืนกรานไม่เอาด้วยก็ตาม ทว่าในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เคยมีการเสนอแก้ไขมาแล้วเช่นกัน แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่

เมื่อดูร่างแก้ไข รธน.ทั้ง 3 ร่างแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ ส.ว.มีการวางแผนเตรียมการกันมาอย่างดี เพราะเลือกที่จะเสนอแก้ไขเป็นรายมาตรา ในส่วนที่ทำแล้วน่าจะมีแรงคัดค้าน น้อยมาก

ดูได้จากซีกฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ก็ยังค้าน แบบไม่เต็มเสียง?!!

กฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร ในฐานะประธาน กมธ.พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 190 ระบุถึงกรณีคณะกรรมาธิการในซีกพรรคประชาธิปัตย์ ยังมีข้อสงสัยในการประชุมหลังโหวตวาระแรกว่า การตั้งกมธ.ขึ้นมาเป็นไปด้วยความถูกต้องหรือไม่นั้น คิดว่าประเด็นดังกล่าวน่าจะนำไปหารือกับคณะ กรรมการบริหารพรรคตัวเอง และมีเหตุผล อย่างไร คงจะได้มาชี้แจงต่อที่ประชุมในการไม่รับตำแหน่ง และไม่กังวลไปกับขั้นตอนหรือกระบวนการที่จะเดินหน้าต่อ พร้อมทำงานต่อไปตามข้อบังคับการประ- ชุมรัฐสภา และตามคำสั่งของประธานรัฐสภา

"การที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จะไปยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา แต่ยังเชื่อว่าดำเนินการถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย ไม่น่าจะมีสิ่งใดเป็นอุปสรรค ต่อการทำงาน"

เช่นเดียวกับ "มาตรา 237" ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมากถึงโทษยุบพรรคการ เมืองนั้น เป็นเรื่องที่หลายฝ่าย หลายพรรค รวมถึงกรรมการทุกชุด ก็คิดค่อนข้างเหมือนกันว่า...สมควรได้รับการแก้ไข!!

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหลายพรรคได้รับผลกระทบโดยตรง หรือบางพรรคก็เคยถูกจับคอพาดเขียงมาแล้ว แต่ที่มีการพูดถึงการลดความรับผิดชอบของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง และส่อว่าเมื่อกฎหมายยุบพรรคไม่มีแล้ว จะมีการ พยายามเขียนกฎหมายให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการยุบพรรคในอดีตถือเป็นโมฆะไป ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่น่าจะเหมาะ

ขณะที่ "มาตรา 117" เรื่องที่มาของ ส.ว.เลือกตั้ง 200 คน ก็ต้องลุ้นกันว่าวิธีการเลือกตั้งจะกำหนดอย่างไร แต่การเลือกตั้งโดยตรงก็คงไม่ง่ายที่จะแยกออกจากพรรคการเมือง เพราะคนที่ไปสมัครจะต้องไปอิงกับกลุ่มที่มีฐานเสียงในพื้นที่นั้นๆ แม้จะระบุว่าไม่สังกัดพรรค การเมือง แต่จากเท่าที่ผ่านมาก็มีปัญหามา แล้ว จึงสมควรจะต้องมีการแก้จุดอ่อนนี้ด้วย

อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ดูจะเป็นปัญหาก็คือการแก้รัฐธรรมนูญ "มาตรา 68" ที่จะให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ใช้ดุลพินิจว่าจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ แทนที่ประชาชนจะสามารถร้องโดยตรงต่อ ศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยกรณีพบพฤติ-กรรมที่ส่อถึงการล้มล้างการปกครองตาม รัฐธรรมนูญ

ทำให้เกิดเป็นความน่ากังวลถึงความ พยายามในการลดบทบาท ของศาลรัฐธรรมนูญ และขณะเดียวกันสังคมบางส่วนก็ยังคลางแคลงใจในการทำหน้าที่ของ อัยการสูงสุดต่อบางกรณีที่มักเป็นคุณต่อฝ่ายรัฐบาล รวมทั้งประเด็นที่สำคัญก็คือกรณีดังกล่าวส่อว่าจะเป็นการเข้าข่ายลิด รอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ส่อขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่...

พร้อมกันนี้ ได้มีความกังวลของหลายฝ่ายว่าหมากเกมนี้ ยังซ่อนปมที่จะปู ทางไปสู่การ "โละทิ้ง" รัฐธรรมนูญใหม่อีกรอบหนึ่ง โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่สามารถทัดทานใดๆ เสมือนว่าการแก้ไข "มาตรา 68" จะเป็นการเปิดทางให้มีการโหวตรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ "มาตรา 291" ที่ค้างการพิจารณาวาระ 3 มานานหลายเดือน เพราะห่วงว่าจะถูกตีความตาม "มาตรา 68" และรัฐบาลอาจจะต้องมีอันเป็นไป

หลังจากนั้นเมื่อมีการผ่านความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่ค้างการพิจารณาอยู่ ก็จะสามารถยกร่างกันได้ ด้วยการตั้ง ส.ส.ร. ที่ฝ่ายสนับ สนุนย่อมจะอ้างได้ว่า...มาจากประชาชน ซึ่งทั้งหมดนั้นอาจยังเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ก็ไม่น่าที่จะมองข้ามเช่นเดียวกัน!!!


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ