“เอปสัน” ชี้ ปี 66 ตลาดไอทีเติบโตดื่งลง 10% ลุยปีนี้ทุ่ม 30 ลบ. สร้าง Solution Center จัดแสดงและสาธิตการใช้งานผลิตภัณฑ์ พัฒนานวัตกรรมและโซลูชั่นใหม่ ๆ กระตุ้นอุตสาหกรรมไอมทีฟื้นตัวคึกคักปีนี้

วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

“เอปสัน” ชี้ ปี 66 ตลาดไอทีเติบโตดื่งลง 10% ลุยปีนี้ทุ่ม 30 ลบ. สร้าง Solution Center จัดแสดงและสาธิตการใช้งานผลิตภัณฑ์ พัฒนานวัตกรรมและโซลูชั่นใหม่ ๆ กระตุ้นอุตสาหกรรมไอมทีฟื้นตัวคึกคักปีนี้


นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ท้าทายส่งผลให้ตลาดไอทีเติบโตลดลงกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2565 ยอดขายประมาณการทั้งปีของเอปสันกลับโตสวนทางเพิ่มขึ้น 8% โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ไม่เพียงปรับโฟกัสธุรกิจมาที่ตลาด B2B ตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทำให้ได้รับผลกระทบไม่มากนักจากความผันผวนที่มีในตลาด B2C ทั้งยังเดินหน้าเพิ่มไลน์อัพสินค้าและสร้าง S-curve ใหม่อยู่เสมอ โดยนำนวัตกรรมใหม่ของเอปสันเองเข้ามาเปิดตลาด สร้างฐานลูกค้าใหม่ พร้อมกับช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากเทคโนโลยีและแบรนด์คู่แข่ง ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงการสร้างรายได้จากสินค้าเดิมหรือสินค้าเพียงกลุ่มเดียว

สำหรับกลุ่มสินค้าของเอปสันที่ทำยอดขายได้ดีในปี 66 ที่ผ่านมา ได้แก่ เครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา Epson SureColor S-series ที่เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 37% เป็นผลจากการที่บริษัทฯ สามารถดึงผู้ประกอบการที่เคยใช้เครื่อง Non-brand ที่มีข้อจำกัดในเรื่องเทคโนโลยี คุณภาพ และการบริการ มาใช้เครื่องเอปสันได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสำหรับเครื่องแบรนด์เนมที่ได้รับความนิยมในวงการพิมพ์ป้ายปัจจุบัน เอปสันถือว่าเป็นแบรนด์ Top of Mind ของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากการจัดกิจกรรมการตลาดและโปรโมชั่นพิเศษที่เพิ่มขึ้นของศูนย์การค้าและโรงแรมต่างๆ บวกกับปัจจัยด้านการท่องเที่ยว นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ และการเลือกตั้ง 66 ที่ทำให้สื่อโฆษณานอกบ้านและสื่อเคลื่อนที่เติบโตขึ้น

ต่อมาคือสแกนเนอร์ ที่เติบโตขึ้น 37% ซึ่งได้รับอานิสงค์จากการที่ พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้ ทำให้หน่วยงานราชการหลายแห่งจำเป็นต้องทำเอกสารดิจิทัล เพื่อให้บริการประชาชนผ่านระบบออนไลน์ รวมไปถึงธนาคาร ห้องสมุด และสถาบันศึกษาที่ต้องการเก็บข้อมูลถาวรในรูปแบบดิจิทัล และองค์กรธุรกิจที่เริ่มทำงานผ่านระบบเครือข่ายมากขึ้น ตามมาด้วย เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กร Epson WorkForce ที่โตเกือบ 30%

ส่วนโปรเจคเตอร์ โดยรวมมีการเติบโตได้ดี เพิ่มขึ้นเกือบ 20% ซึ่งมาจากกลุ่มเลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง  เช่น รุ่นที่มีความสว่างตั้งแต่ 5,000 ลูเมนขึ้นไปและสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ และเลเซอร์โปรเจคเตอร์เพื่อธุรกิจ เช่น Epson 2000-series โดยที่เอปสันมีการออกสินค้าใหม่มากที่สุดและทำการตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ขณะที่แบรนด์คู่แข่งบางรายกลับหยุดหรือชะลอการทำตลาด

อีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่แสดงถึงการเติบโตอย่างมีนัยยะ คือเครื่องพิมพ์มินิแล็บ Epson SureLab ที่โตขึ้นในปีนี้เกือบ 10% บ่งบอกถึงการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ของธุรกิจรับพิมพ์ภาพขนาดย่อมในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศมาตั้งแต่หลังโควิด ยิ่งได้รับการสนับสนุนจากกระแสการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ทำให้เกิดกิจกรรมทางสังคมเพิ่มขึ้น อัตราการพิมพ์ภาพก็มากขึ้นตาม จนนำไปสู่การลงทุนซื้อเครื่องพิมพ์เพิ่มของกลุ่ม Startup และ SME

สำหรับเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ Epson EcoTank มีการเติบโตเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากตลาดปี 2566 มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในด้านราคา เพื่อจูงใจผู้บริโภค แต่เอปสันยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ไว้ได้ที่สัดส่วน 57% เมื่อธันวาคมที่ผ่านมา ในขณะที่กลุ่มเครื่องพิมพ์สิ่งทอ Epson SureColor F-series ไม่แสดงการเติบโต เช่นเดียวกับกลุ่มหุ่นยนต์แขนกล ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า สำหรับในปี 2567 ว่าถึงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจในเวลานี้ยังอยู่ภาวะชะลอตัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น และปัญหาหนี้เสียคงค้างของสินเชื่อประเภทต่างๆ ที่อาจส่งผลถึงการจับจ่ายของประชาชน และการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคซึ่งมีผลต่อราคาน้ำมันโลก แต่ เอปสัน ประเทศไทย ยังเชื่อมั่นในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ผ่านการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ว่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวและมีเสถียรภาพอย่างแน่นอน โดยเอปสันเองตั้งเป้าที่จะรักษาระดับการเติบโตให้ไม่ต่ำกว่าปีนี้ โดยจะมุ่งลงทุนในจุดแข็งทั้ง 5 ด้านของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตัวทางธุรกิจ ได้แก่ S-curve strategy, Sales model, Service excellence, Solution center และ Sustainable value การที่เอปสันไม่หยุดที่จะมองหาและสร้าง S-curve ใหม่ ช่วยให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตก้าวหน้าได้อยู่เสมอ ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด และสร้างความแตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่ง

ล่าสุด บริษัทฯ เปิดตัวเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทขาวดำที่ใช้หัวพิมพ์ Heat-Free Technology ทั้งในกลุ่ม EcoTank และ WorkForce อย่างละ 2 รุ่น เพื่อมาแข่งขันกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ขาวดำโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันยังมีกลุ่มผู้ใช้ที่เน้นพิมพ์เอกสารขาวดำอยู่ เช่น สำนักงานบริษัท สถาบันศึกษา โรงพยาบาล เป็นต้น โดยจะเป็นกลุ่มที่ต้องการเครื่องพิมพ์ที่ให้ต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นต่ำ ความเร็วระดับปานกลาง แต่สามารถรองรับงานปริมาณมากได้

ซึ่งสินค้าใหม่ทั้ง 4 รุ่น ประกอบด้วย เครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ Epson EcoTank M2050 ที่เป็นรุ่นมัลติฟังก์ชั่น และ Epson EcoTank M1050 ที่เป็นซิงเกิลฟังก์ชั่น มีจุดเด่นที่ราคาไม่สูง ต้นทุนการพิมพ์ต่ำ เพราะชุดหมึกความจุสูงรองรับการพิมพ์ได้มากสุดถึง 6,000 แผ่น ให้งานพิมพ์ที่คมชัดกันน้ำได้ด้วยหมึก DURAbrite ET สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Wi-Fi, Wi-Fi Direct และ Ethernet มาพร้อมกับการรับประกัน 4 ปี หรือ 50,000 แผ่น ส่วนเครื่องในกลุ่ม WorkForce ทั้ง 2 รุ่น ได้แก่ Epson WorkForce Pro WF-M5899 เครื่องมัลติฟังก์ชั่น และ Epson WorkForce Pro WF-M5399 เครื่องซิงเกิลฟังก์ชั่น ที่ผสานคุณค่าด้านความยั่งยืนเข้ากับประสิทธิภาพการพิมพ์ได้อย่างลงตัวกินไฟต่ำ ขนาดกะทัดรัด ประหยัดพื้นที่ สามารถพิมพ์ได้เร็ว 25 ipm มาพร้อมกับฟีเจอร์มากมาย เช่น พิมพ์สองหน้าอัตโนมัติความเร็วสูง เชื่อมต่อกับคลาวด์และมือถือได้ จุดแข็งต่อมาคือ Sales Model เอปสันได้พัฒนารูปแบบการขายที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกว่าต้องการเป็นเจ้าของเครื่องพิมพ์คุณภาพสูงของเอปสันในรูปแบบใด โดยคำนึงถึงงบประมาณ ประเภทงานพิมพ์และปริมาณการใช้ในแต่ละเดือนที่ลูกค้าสามารถเป็นผู้กำหนดได้เอง เช่น รูปแบบบริการการพิมพ์แบบจ่ายรายเดือนอย่าง EasyCare ที่ลูกค้าสามารถควบคุมต้นทุนการพิมพ์ของตัวเองได้ ไม่ต้องสต๊อกหมึก เพราะเอปสันจะส่งหมึกให้โดยคำนวณค่าใช้จ่ายจากจำนวนพิมพ์รายแผ่น เป็นต้น

Service excellence เอปสันให้ความสำคัญกับการบริการทั้งก่อนและหลังการขายมาโดยตลอด โดยจะเห็นได้จากการที่บริษัทฯ มีการพัฒนาทีม Pre-sales สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการทำโซลูชั่นที่เหมาะกับองค์กรธุรกิจของลูกค้า รวมถึงพัฒนาช่องทางดิจิทัลเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังได้เพิ่มจำนวนศูนย์บริการ จนปัจจุบันมีอยู่ 182 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมี 140 แห่งที่สามารถให้บริการ onsite ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

ผู้บริหารกล่าวต่อว่า ในปีนี้ นอกจากเอปสัน ประเทศไทยจะย้ายมาที่สำนักงานใหม่บนชั้น 22 อาคารปันยังได้ทุ่มงบประมาณกว่า 30 ล้านบาทในการสร้าง Solution Center แห่งใหม่บนพื้นที่มากกว่า 600 ตารางเมตร  เพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงและสาธิตการใช้งานผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มของเอปสัน เพื่อสร้างประสบการณ์จริงให้กับลูกค้าก่อนตัดสินใจซื้อ ทั้งยังใช้เป็นที่จัดอบรมเทคโนโลยีและโซลูชั่นที่มุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดยจะแบ่งออกเป็นโซนเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ซึ่งมีเครื่องพิมพ์สิ่งทอ เครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา และเครื่องพิมพ์ภาพ ทั้งยังมีเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กร โปรเจคเตอร์ และหุ่นยนต์แขนกล

“การลงทุนสร้างโซลูชั่นเซ็นเตอร์แห่งใหม่นี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเอปสันที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานขององค์กรธุรกิจในไทย ด้วยนวัตกรรมและโซลูชั่นที่ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มผลิตผล แต่ยังช่วยสร้างความยั่งยืนอีกด้วย เพื่อสร้างสังคมที่ปล่อยคาร์บอนเป็นลบได้ในที่สุด ทั้งยังแสดงถึงความพยายามของบริษัทฯ ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนได้ง่ายยิ่งขึ้น” นายยรรยง กล่าว

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ