พวกเรามองชีวิตความเป็นอยู่อย่างพื้นๆ ผิวเผิน ไม่วิเคราะห์เจาะลึกกันจริงจัง บางทีเราอาจเห็นแค่ "ภาพลวงตา" ว่า แผ่นดินไทยนี้น่าอยู่ แสนสุขสบายจนไม่มีชาติไหนเป็นสุขเท่าแผ่นดินนี้อีกแล้ว

ใช่...แม้แต่ผมเองก็หลงเคลิ้มว่าเป็นเช่นนั้นจริง

ต่อเมื่อได้ยินข่าว "มาเฟียต่างชาติครองพัทยา" มีมิจฉาชีพต่างชาติมาปอกลอกเงินคนไทยด้วยโทรศัพท์หลอกลวงไปมากมายหลายร้อยล้าน หรือหลอก แต่งงานกับสาวไทยแล้วอ้างสิทธิ์ความเป็นเขยไทยทำธุรกรรมค้าขายลวงให้ญาติพี่น้องคนไทยเป็นนายประกันรับหนี้แทน และอีกหลายเหลี่ยมที่พึงจะโกงได้ ก็ทำ ทุกอย่าง

จนหน่วย DSI ต้องเข้าไปสอบสวนว่า เดี๋ยวนี้ตามแหล่งท่องเที่ยวไม่ว่า พัทยา ภูเก็ต หรือเกาะสมุย มีนักลงทุนต่างชาติชาวรัสเซียและเกาหลีใต้เข้าไปแย่งทำธุรกิจ คนไทยแบบใช้อิทธิพลมืด หรือว่าจ้างคนไทยเป็น "นอมินี" ทำธุรกิจทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ได้ก็จะซื้อ หรือฮุบกิจการถึงขนาดกล้าประกอบธุรกิจอิงระเบียบราชการบังหน้ามากถึง 3,000 ราย หลายบริษัทก็ยิ่งน่าวิตก

ทำให้คิดย้อนหลังไปถึงยุคล่าอาณานิคมแบบเอาปืนใหญ่มาถล่มแผ่นดินไทยของพวกอังกฤษ ฝรั่งเศสที่เคยทำความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่บรรพบุรุษคนไทย ไม่เว้นแม้แต่คดีปราสาทพระวิหาร จนรู้สึกว่า ไม่ว่ายุคไดโนเสาร์ หรือยุคคอมพิวเตอร์ พวกต่างชาติเหล่านั้นมีแต่จิตคิดโลภมักได้แต่ทรัพย์สินคนอื่นเป็นสันดาน ไม่เคยเปลี่ยน

ยุคก่อน ฝรั่งเสียงแข็ง จะกดขี่ขีดเส้นแบ่งแผ่นดินไทยแบบไหนก็ทำตามอำเภอใจ พอมนุษย์ฉลาดขึ้นก็เปลี่ยนวิธียึดแบบหน้าด้านๆ มาเป็นมอมเมาให้เราเป็นทาสทางธุรกิจ และฮุบด้วยเกม "โลกาภิวัตน์"

ที่เห็นๆ ทุกวันนี้คือ ต่างชาติทุ่มทุนมหาศาลเข้ามายึดครองธุรกิจค้าปลีกที่คนไทยถูกบิดเบือนให้เอื้อประโยชน์ด้วยกติกาที่เอาเปรียบ พอเปลี่ยนรัฐบาลก็รีบเสนอหน้าเข้าหาผู้นำใหม่ให้สนับสนุนธุรกิจของเขาอย่างเสรี...แต่ขอโทษที ลองตาม ไปดูเบื้องหลังการนำสินค้าไทยเข้าห้างถูก "กติกากติกู" เอาเปรียบยุ่บยั่บในวงการค้าปลีกลือกันให้แซ่ด โดยเฉพาะกลเกมในการสั่งผลิตสินค้าลอกเลียนสินค้าไทยที่แบรนด์ดังๆ กันหน้าตาเฉย

รู้ๆ ก็ตอนฝรั่งขนกำไรกลับประเทศเขาปีละเป็นแสนล้าน

การค้างาช้างเป็นอีกกรณีตัวอย่างหนึ่ง ที่มีคนอยู่เบื้องหลังเอาแผ่นดินไทยเป็นที่พักสินค้าเถื่อนด้วยระบบ "มาเฟียต่างชาติ"

กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต สมุย จึงมีคนต่างชาติ "แอบใช้นอมินีไทย" ทำการค้าอย่างมั่งคั่งร่ำรวย

โดยเฉพาะชาวรัสเซีย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทย "ชั้นหิวเงิน" ทั้งหลายนอกจากไม่คำนึงถึงกฎระเบียบราชการแล้ว ยังหน้ามืดเอาหน้าที่ศักดิ์ศรีไปช่วยปิดบังอำพรางธุรกิจต่างชาตินี้อีกต่างหาก

มองไปด้านแรงงานกลับยิ่งเลวร้าย เมื่อเราเห็นลูกจ้างทุกระดับไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือลูกจ้างส่วนตัวต่างลานตาไปด้วย คนใช้Ž ชาวพม่า เขมรและลาว ที่ พูดจาภาษาไทยเพี้ยนซึมไปถึงลูกถึงหลาน ลูกจ้างต่างด้าวเหล่านี้มีเกลื่อนแผ่นดิน มากกว่า 3 ล้านคน ที่คนไทยยังไม่รู้ว่ามีผลกระทบต่อสังคมอย่างไร

ที่วันดีคืนดีก็ได้ฟังข่าวลูกจ้างต่างด้าวฆ่าเชือดคอหรือทำร้ายนายจ้างคนไทย อย่างสยองมือไปเรียบร้อยแล้ว

เพียงพวกเราคอยสังเกตข่าวรายวันอย่างพินิจพิจารณาแล้วจดจำให้ดี ก็จะรู้ ปัญหาคนต่างชาติที่กำลังปู้ยี่ปู้ยำสังคมและธุรกิจไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยปละ ละเลยโดยไม่มีหน่วยงานใดคอยป้องกันให้ปลอดภัย เพราะไม่ใช่เป็นเรื่อง "ช่างหัวมัน"

ใครมองว่าบ้านเมืองเรามั่นคง เศรษฐกิจดี หรือพึ่งพาตนเองได้อย่างแข็งแกร่ง ก็ลองหันมาย้อนทบทวนทีละประเด็นให้ถึงแก่น ก็อาจขนหัวลุกได้

บางทีหลายคนหลายผู้รู้ที่กำลังมุ่งหน้าเดินไปสู่เส้นทางประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือมองเพียงตรรกะด้วย "สายตาสั้น" แล้วถลำไปเพราะข้อมูลที่เข้าข้าง ตัวเองมากเกินไปก็ควรคำนึงถึง "กิจการนอกระบบ" ที่มักเดินคู่ขนานกับกติการะหว่างประเทศ ซึ่งเขียนขึ้นมาแต่ไม่ได้บังคับใช้อย่างเข้มงวด

ถ้าวันนี้สื่อเริ่มมีข่าวการปราบปรามมาเฟียข้ามชาติไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน สิงคโปร์ เกาหลี หรือญี่ปุ่น ที่จ้องเข้ามาฮุบธุรกิจคนไทยด้วยวิธีการนอกระบบ เป็นแก๊งมาเฟียทำธุรกิจใต้ดินฝังรากลึก

บางทีอีก 2 ปีข้างหน้า สื่อมวลชนอาจต้องเปิด "หน้าต่างข่าวบานใหม่" เป็นคอลัมน์ "ภัยประชาคมอาเซียน" ...ที่มันน่าจะเกิดอุปสรรคและมีภยันตรายมากกว่าที่คาดก็ได้

ยิ่งสถานการณ์มันมาถึงยุคที่นักการเมืองขัดแย้งแบบ "ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ" อย่างนี้ด้วย...จะมีใครมาเป็น "อัศวินม้าขาว" ปราบมาเฟียต่างชาติที่แอบฮุบธุรกิจคนไทยกันมั่งมั้ยเนี่ย?