Toggle navigation
วันศุกร์ ที่ 20 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
วิเคราะห์-บทความ-คอลัมน์
ไขวิวาทะ "จำนำข้าว" "รัฐ" ..ขี่หลังเสือแบกหนี้ชาวนา?!
ไขวิวาทะ "จำนำข้าว" "รัฐ" ..ขี่หลังเสือแบกหนี้ชาวนา?!
วันเสาร์ที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
Tweet
นโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ดของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ในฤดูกาลผลิต ปี 2556 กำลังปรับเปลี่ยนในหลายข้อกำหนด!! ไม่ว่าจะเป็นการทบทวน "กลไกราคา ข้าวเปลือก" ...สุ่มตรวจสอบอย่างเข้มข้น หรือกำหนดโซนนิ่งปลูกข้าว พร้อมปรับ ลดปริมาณข้าวเปลือกลงให้เหลือเพียง 7 ล้านตัน รวมถึงการลดเงินหมุนเวียน ในโครงการลงไปกว่าครึ่ง ให้เหลือแค่ 1.05 แสนล้านบาท
หลังปรากฏ "ข้อร้องเรียน" มากมาย ว่าโครงการรับจำนำของ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการ "ค้าข้าวไทย" และภาวะหนี้สินของประเทศ ซึ่งรัฐบาลเองก็ยอมรับแล้วว่า "จำนำข้าว" เป็นปัญหาล่อแหลม เพราะมีปัญหาในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะเงื่อนปมการทุจริตในบางขั้นตอน
เช่นที่ว่านี้ กูรูเศรษฐศาสตร์อย่าง "ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง" ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ สาธารณสุขและการ เกษตร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ ไทย (ทีดีอาร์ไอ) จึงได้มาวิพากษ์ประเด็น "จำนำข้าว" ว่าเป็นนโยบายที่ดี หรือเป็นโครงการที่จะสร้าง "หายนะ" ต่อเศรษฐกิจข้าวไทยกันแน่...พร้อมไขแนวทาง "ช่วยเหลือเกษตรกร" เพื่อทบทวนทิศทางนโยบายที่มันควรจะเป็นไป...!!!
+ สิ่งที่เป็นข้อถกเถียงเกี่ยวกับ "นโยบายรับจำนำข้าว" จากมุมมองในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่วิจัยศึกษาเรื่องข้าวมายาวนาน
ที่ผ่านมาถ้ามีใครลุ้นว่ารัฐบาลอาจขายข้าวได้ราคาดีกว่าที่คิดตอนนี้ก็ยังไม่เห็น ซึ่งจากข้อมูลที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช. กระทรวงพาณิชย์ ตอบกระทู้ในสภาก็เหมือน จะยืนยันว่า ที่ผ่านมาการระบายข้าวมีปัญหา มาตลอด ทั้งในด้านปริมาณและราคา เมื่อการระบายมีปัญหาเงินก็จมอยู่ตรงนั้น ตัวเลขที่เราเคยพูดกันว่า รัฐบาลจะขาดทุน นั้น คิดจากส่วนต่างราคาจากการซื้อแพงแล้วขายถูก ยิ่งถ้าระบายข้าวได้น้อย เงินก็จะยิ่งจมอยู่ตรงนั้นมากขึ้น เพราะปีหนึ่งใช้เงินซื้อสามแสนล้าน และข้าวที่เก็บไว้นานก็จะเสื่อมคุณภาพและราคาก็ตกลงด้วย
+ หากปรับในเชิงระบบเรื่องข้าวไทย มันมีทางออกที่ดีกว่านโยบาย ทั้งประกันหรือจำนำบ้างไหม?!
ทุกมาตรการที่เอามาใช้ต่างก็มีปัญหา ของตัวเอง เราต้องยอมรับความจริงว่าเกษตรกรของเราส่วนหนึ่งฐานะไม่ได้ดีมาก และการที่ฐานะไม่ได้ดีมากก็ทำให้แทบทุกมาตรการที่กระทบต่อราคาหรือรายได้มีผลที่แรง เพราะเมื่อไหร่ที่พืชผล ตัวไหนราคาดี ก็จะมีเกษตรกรหันมาผลิตเพิ่ม ตราบที่ผลิตแล้วยังมีกำไรบ้าง ถึงแม้จะไม่มากก็ตาม การผลิตเพิ่มเกิดกับพืชที่ราคาดี ไม่ว่าจะเป็นข้าว อ้อย มันสำปะหลัง หรือยางพารา อย่างอ้อยเราจะเห็นได้ว่าราคาดี ติดต่อกันมาหลายปี ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาศัยการ กดดันทางการเมือง โดยชาวไร่บอกว่าไม่คุ้ม ทุน แต่ที่ราคาขนาดนี้ที่เขาได้มา 4-5 ปีนี้ ก็ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นมาก
+ หรือจะพูดว่านี่เป็นโมเดลที่ "เป็นไปไม่ได้" ทางเศรษฐศาสตร์?!
จริงๆ เป็นไปได้ในแบบที่เคยพูดไว้หลายครั้งแล้ว ถ้าเราบอกว่าจะทำโครงการ นี้แบบขาดทุนเพื่อช่วยชาวนา โดยประชาชน ผู้เสียภาษีจะเป็นผู้รับภาระการขาดทุน โมเดล แบบนี้ทำได้...ถ้าฝ่ายการเมืองสามารถตอบ โจทย์กับทุกฝ่าย คือนอกจากฝั่งชาวนาที่จะได้ประโยชน์แล้ว ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศก็ยินดีเสียสละเงินเพื่อให้รัฐบาลเอาไปช่วยชาวนา และรัฐบาลก็พร้อมที่จะขาดทุนจากโครงการนี้ โมเดลแบบนี้ถึงจะทำได้ แต่ที่บอกว่าจะตั้งราคาให้สูงไว้จะขยาย การผลิตเยอะๆ แล้วยังจะสามารถขายในราคาที่สูงกว่าเดิม และยังสามารถแข่งในตลาดโลกได้ด้วย แบบ win-win ทุกอย่างแบบนั้น "ไม่มีใครเคยทำได้จริง"
+ สิ่งที่ "ทีดีอาร์ไอ" ชี้ให้สังคมเห็นในเรื่องนโยบายรับจำนำข้าวก็คือเรื่อง ของการกระจายรายได้ จริงๆ แล้วมันไม่ได้ลงไปถึงชาวนาที่จนที่สุด แต่ว่าชาวนาที่ร่ำรวยได้ประโยชน์อย่างที่ทีดีอาร์ไอเสนอมา..ใช่หรือไม่?!
อยากพูดเรื่องนี้ให้ชัดในอย่างน้อย 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก มีข่าวที่ออกมา ช่วงแรกๆ ที่บอกว่าโครงการประเภทนี้เงินไปถึงเกษตรกรแค่ 17% ซึ่งตัวเลขนี้มาจากงานวิจัยจริงๆ แต่เป็นงานในอดีต ในประเด็นนี้ได้เคยแย้งเอาไว้ เพราะ โครงการ จำนำข้าวในอดีตเป็นการรับจำนำแบบจำกัด โควตาแค่ 20-30% ของผลผลิต ไม่ได้ประกาศรับจำนำทุกเม็ด ชาวนาจึงไม่มีอำนาจ การต่อรองกับโรงสีที่เข้าโครงการเลย
"สมมติถ้าเราตั้งราคาจำนำไว้ 10,000 บาท แล้วโรงสีตีราคาให้ 7,500 ซึ่งดีกว่าราคาตลาดเพียงเล็กน้อย ชาวนาก็มักจะยอมขาย เพราะเห็นว่ายังดีกว่าต้องขนข้าว กลับไป ซึ่งถ้าไปขายที่อื่นยังไงก็ได้ราคาต่ำกว่านั้นอยู่ดี ในโครงการแบบนั้นก็ชัดเจนว่า ผลประโยชน์จะตกกับชาวนาน้อย แต่ผมคิดว่าส่วนนี้เปลี่ยนไปโดยพื้นฐานจากการที่รัฐหันมารับจำนำทุกเม็ด แต่ที่เปลี่ยนไม่หมดก็เพราะในทางปฏิบัติแล้วในหลายพื้นที่ โรงสีที่เข้าร่วมโครงการไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะสามารถรับข้าวได้ทั้งหมดอย่างทันท่วงที รวมทั้งเวลาขายกว่าจะได้เงินก็ใช้เวลานานกว่าขายให้พ่อค้าหรือโรงสีทั่วไป บางทีก็นานเป็นเดือน ซึ่งก็ทำให้คนจำนวนหนึ่งหนีออกไป"
แต่อย่างน้อยครั้งนี้ชาวนาน่าจะได้ประโยชน์ค่อนข้างเต็มที่เมื่อเทียบกับครั้งก่อนๆ คือ ราคาที่เขาขายได้จริงน่าจะใกล้เคียงกับราคาที่รัฐบาลกำหนด แต่ถ้าถามว่า ชาวนาได้ประโยชน์ขนาดนี้คุ้มกับที่เงินที่เรา ทุ่มลงไปหรือไม่ อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ทั้งนี้ ในอีกประเด็นที่ไม่มีใครพูดถึงก็คือ ถ้ารัฐบาลจะใช้นโยบายที่มีผลกระทบต่อ ราคาข้าว แล้วสมมติว่าชาวนาที่ปลูกข้าวแค่พอกินไว้กินเองในครอบครัว ทำไมถึงควร จะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ด้วย ซึ่งถ้า บอกว่าเราจะเอาเงินไปช่วยให้ชาวนาขายข้าวในราคาดีขึ้น แต่สำหรับคนที่ปลูกข้าวไว้ กินเอง ทำไมเขาถึงควรได้รับความช่วยเหลือ ในเมื่อเขาไม่ได้ตั้งใจจะปลูกข้าวไว้ขายตั้งแต่ แรกแล้ว
ฉะนั้น ถ้ารัฐบาลเลือกใช้ "นโยบายอุดหนุนด้านราคา" แล้วประโยชน์ส่วนใหญ่ไปตกอยู่กับชาวนาระดับปานกลางไปถึงระดับรวยก็เป็นเรื่องปกติ เพราะมาตรการด้านราคาก็ย่อมเป็นประโยชน์ที่มาพร้อมกับคนที่มีของไว้ขายมากๆ ซึ่งถ้าใครคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องช่วยชาวนาเหล่านี้ ก็หมาย ความว่าเราไม่จำเป็นต้องมีนโยบายอุดหนุน ราคาข้าว
+ เมื่อเราได้ปรับภาษีขึ้นไป ในภาวะที่การส่งออกข้าวในอาเซียนมีการแข่งกัน สูงมาก มันจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง?!
ก็ถ้าเราไม่ไปทำอะไรที่เป็นการ "ฝืนตลาด" ก็จะไม่มีปัญหา เพราะเมื่อถามว่ามีแรงจูงใจที่ข้าวเขมร ข้าวเวียดนามมาเข้าเมืองไทยหรือเปล่า ก็คงจะมีบ้าง อย่างข้าว เขมรจะอยู่ใกล้ระบบลอจิสติกส์ระบบการส่งออกหรือแม้แต่โรงสีของเราดีกว่า ก็ย่อม จะมีข้าวเขมรที่วิ่งมาไทยบ้าง แต่จริงๆ บริษัทข้าวของเราจำนวนหนึ่งก็ไปช่วยส่งออกข้าว คือไปทำธุรกิจในประเทศเหล่านี้อยู่แล้ว ถ้าจะมีปัญหาที่ข้าวต่างชาติเข้ามาก็คงมีเหตุผลหลักเหตุผลเดียวคือ การนำเข้ามาสวมสิทธิ์ขายในโครงการจำนำข้าวที่เราตั้งราคาไว้สูงผิดปกติ แต่ในประเด็นนี้ถ้า บอกว่าเป็นความผิด...ความผิดก็ไม่ได้อยู่ที่ภาษีเป็นศูนย์ แต่อยู่ที่รัฐบาลเองพยายามจะ ยกระดับราคาข้าวในประเทศไทยสูงกว่า ข้างนอก ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่จะมีแรงจูงใจที่จะลักลอบเอาข้าวข้ามชายแดนมา
+ เมื่อไทยกำลังเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน จะเห็นว่าหลายประเทศมุ่งเน้นปลูกข้าวที่มีคุณภาพ ซึ่งมุมมอง ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์เรื่องข้าว คิดว่าไทยควรจะมีทิศทางอย่างไรในการปลูกข้าว
ก็คงปลูกอย่างไรให้ได้กำไรมากขึ้น เรื่องที่เห็นตรงกับเอ็นจีโออยู่เรื่องหนึ่ง คือการที่เป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตามจริงก็เห็นด้วยกับรัฐบาลที่พูดด้วย ว่าไม่ควรสนใจการเป็นเบอร์หนึ่ง ควรดูที่มูลค่าดีกว่า แต่ก็ต้องเป็นมูลค่าที่ชาวนาทั่วไปทำได้จริง ไม่ใช่มาบอกว่ามีข้าวที่เขาขาย ได้กิโลละพัน แต่ถ้าในที่สุดแล้วทั้งประเทศ สามารถส่งออกในราคานั้นได้แค่ 100 ตัน ต่อปี ก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะเอามาพูด
+ เท่าที่คุยกับชาวนา เขาบอกว่าถ้าปลูก 3 ครั้งต่อปี ข้าวจะได้น้อยลงกว่าเดิม เพราะดินไม่ได้พักเลย ซึ่งในการจำกัดการรับจำนำปีละ 2 ครั้งจะช่วยเรื่องนี้ได้หรือไม่...ส่วนแนวคิดเรื่องประกัน ราคาก็มีข้อผิดพลาดเหมือนวาทกรรม ทีว่า เป็นการ "ทำนาบนกระดาษ" ที่แจ้งเฉพาะพื้นที่ปลูกแต่ไม่มีผลผลิตจริงๆ ใช่หรือไม่?!
จริงๆ แล้ว ถ้าเทียบจำนำกับโครงการ เดิมที่เรียกว่า โครงการที่ประกันรายได้ที่ประชาธิปัตย์เอามาใช้ ยังคิดว่าโครงการก่อนดีกว่าและสามารถทำให้ดีกว่านั้นได้ แต่แบบที่เขาเคยทำกัน ผมก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน นอกจากนี้ ก็มีปัญหาใหญ่ปัญหา หนึ่งที่ไม่ได้คิดเผื่อเอาไว้ หรือไม่ได้คิดว่าจะเป็นปัญหา ก็คือเรื่องของการเช่าที่ดิน เนื่อง จากโครงการนั้นให้ความช่วยเหลือ "ชาวนา" ปัญหาคือใครคือชาวนา พอให้ราชการ จดทะเบียน ใครมีหลักฐานแสดงว่าเป็นเจ้าของที่ดิน ราชการก็มีแนวโน้มยึดตาม พวกนี้อยู่แล้ว
"เหมือนกับการยึดตามทะเบียนบ้านก็กลายเป็นว่าโครงการไปเอื้อประโยชน์กับเจ้าของที่ดินไม่ได้ปลูกข้าวเอง ซึ่งเกิดเยอะเหมือนกัน อันนี้เป็นข้อเสียที่สำคัญที่ทำให้โครงการที่น่าจะถูกใจชาวนามากกว่าโครงการจำนำ"
+ มาตรการที่ช่วยเหลือเกษตรกรมันยังควรจะมีอยู่ไหม?!
"ผมยืนยันมาตลอดว่า ถ้าเราไม่ได้พูด ถึง Contract Farming การเกษตรมีความ เสี่ยงในระยะสั้นมากพอสมควร ถ้าเทียบกับ มนุษย์เงินเดือนอย่างกับพวกเรา ชาวนาต้อง ลงทุนไปก่อน ถ้าปลูกข้าวนาปรัง 120 วัน ต้องลงทุนประมาณ 4 เดือน นี่คือสั้นแล้ว แต่ถ้าเป็นหอมมะลิก็อย่างน้อย 7-8 เดือน ระหว่างตอนที่เขาลงทุนกับตอนที่เขาขายข้าวได้ ก็อาจมีความเปลี่ยนแปลงหรือความ เสี่ยงบางอย่างที่อาจจะมากระทบเขาได้แรงพอสมควร แล้วชาวนาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีฐานะดีมาก ถ้ารัฐมีกลไกอะไรที่จะช่วยให้เขาลดความเสี่ยงลงได้ ก็เป็นสิ่งที่รัฐน่าจะทำ"
แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลต่างๆ พยายามไปยกระดับราคา เพราะการยกระดับราคาไม่ได้แก้ปัญหาให้กับเกษตรกรโดยระยะยาว โดยเฉพาะประเทศที่ผลิตข้าว เหลือขายส่งออก การยกระดับราคาจูงใจให้ คนมาเป็นเกษตรกรมากขึ้น เกษตรกรจำนวนหนึ่งอาจจะลืมตาอ้าปากขึ้น แต่ก็จะ มีอีกจำนวนหนึ่งที่จะมีปัญหาแบบเดิม ในระยะยาวควรปล่อยไปตามกลไกตลาด แต่ในระยะสั้นฤดูต่อฤดู ก็ควรจะมีการรับประกัน ความเสี่ยงตรงนี้ โดยมาตรการที่ประชาธิปัตย์ เอาไปทำก็มาจากแนวคิดนี้ แต่เขาเอาไปใช้ แค่ครึ่งเดียว ซึ่งไม่ว่านโยบายไหนเอาไปทำ แบบยกระดับราคา ก็จะให้ผลกลับมาทำนอง เดียวกัน
อย่างเรื่องชาวนาปลอม...ถ้าคุณไม่ไปยกระดับราคา ก็จะไม่เกิดแรงจูงใจให้คนมาลงทะเบียนเป็นชาวนาปลอม ส่วน มาตรการยกระดับราคาแบบที่รัฐบาล เพื่อไทยทำอยู่ตอนนี้ น่าจะสร้างปัญหาหนักกว่าเก่าเสียอีก ถึงตอนนี้ก็เชื่อว่า จริงๆ แล้วรัฐบาลเองก็เห็นปัญหาแล้ว แต่คงอยู่ ในสภาพที่ขี่หลังเสืออยู่ คงมีคนที่อยากจะ ลงจากหลังเสือเหมือนกันแต่ก็ยังไม่กล้ายกเลิกโครงการนี้!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
ภาษีบุหรี่ ค้างคา "แช่แข็ง" ไม่เดินหน้...
...
อะไรคือ ? โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มา...
...
ttb analytics มองเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็ง...
...
มาตรการ MPOWER เสาหลักกฎหมายควบคุมผลิตภั...
...
“ทักษิณ” พ่อมดการเมือง????...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ