ลูบคม!! "ตุลาการ" วิกฤติ..ตาชั่ง รธน.

วันเสาร์ที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ลูบคม!!


เป็นอารมณ์เดือดปุดที่ "นักมวย" เล็งออกหมัด...ไล่ต่อย "กรรมการ" !!!

ในรหัสเดิมที่ "ฝ่ายนิติบัญญัติ" แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อ "ตุลาการ" คล้อยหลังจากที่ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ไปรับวินิจ ฉัยกรณีที่ ส.ว.สรรหา ยื่นให้ตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญ "รายมาตรา" ที่อยู่ระหว่าง การแปรญัตติในวาระแรกทั้ง 3 ฉบับ ว่ามีขัดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ "มาตรา 68" ในมิติล้มล้างการปกครองหรือไม่...เพราะหากว่าศาลรัฐธรรมนูญมี "คำวินิจฉัย" ไปในทางเลวร้าย ก็อาจเป็นผลให้ ส.ส. และ ส.ว.สายเลือกตั้ง 312 คนที่ร่วมเข้าชื่อแก้ไข มีความสุ่มเสี่ยงต่อการถูกตัดสิทธิทางการ เมือง 5 ปี ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าจะโดนหางเลขกันไปครึ่งค่อนสภา หรือถึงขั้นเหมา เข่ง "ยุบพรรคการเมือง"

พลันให้ "ฝ่ายพิฆาตรัฐธรรมนูญ 2550" ได้งัดกลยุทธ์ตอบโต้...ดุลพินิจ "ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย" ของศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยการประกาศ "ไม่ยอมรับอำนาจศาล" และไม่ยอมยื่นเอกสารชี้แจงเหตุผลของการกระทำ

บานปลายไปถึงขั้นวิพากษ์ "ตุลาการรัฐธรรมนูญ" ว่าไปแทรกแซงอำนาจนิติบัญญัติ พร้อมยิงสลุต! เตรียมยื่นถอด ถอนตุลาการทั้งองค์คณะพ้นบัลลังก์

หมายเหตุที่นำไปสู่วิกฤตการณ์ศาลรัฐธรรมนูญ..เริ่มมาตั้งแต่ 13 กรกฎาคม 2555 เมื่อ "ตลก.รธน." วินิจฉัยว่าการแก้รัฐธรรมนูญด้วยการยกร่างใหม่ทั้งฉบับ "ไม่สอดคล้อง" กับบทบัญญัติของ "มาตรา 291" เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ผ่านการลงประชามติ ดังนั้นเมื่อจะแก้ก็ควรทำ ประชามติถามประชาชนก่อน หรือไม่ก็แก้รายมาตราโดยสภา

ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ "มาตรา 291" ที่เสนอโดย "พรรคเพื่อไทย" ต้องกลายเป็น "วาระค้างสภา" เพราะรัฐบาลไม่กล้าเดินหน้าลงมติในวาระ 3 ทั้งที่ "ตุลาการ" ระบุว่าไม่ใช่คำสั่ง เป็นเพียงคำแนะ นำที่มีอิทธิพลทางความคิด!!

ต่อมาเมื่อ 3 เมษายน 2556 "รัฐสภา" ได้ลงมติในวาระแรก รับหลักการร่างแก้ไข รัฐธรรมนูญ "รายมาตรา" ทั้ง 3 ฉบับที่เสนอเข้ามาใหม่ ทว่าได้เกิดปัญหาแทรก ซ้อนเข้ามาอีก โดยประเด็นแรกคือ "องค์ประชุมไม่ครบ" ขณะกำหนดระยะเวลาในการแปรญัตติ ทำให้ "ฝ่ายค้าน" ขู่ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ จนประธาน รัฐสภายอมถอย และนัดประชุมรัฐสภาใหม่ในวันที่ 18 เมษายน

แต่ที่กลายเป็น "วัวพันหลัก" ล่วงมาถึงตอนนี้ ก็สืบเนื่องมาจาก "ตลก.รธน." มีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 รับคำ ร้องของ "สมชาย แสวงการ" ส.ว.สรรหา ที่ขอให้ศาลวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่า "ประธานรัฐสภากับพวก" กระทำการส่อไปในทางกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อจงใจใช้อำนาจ หน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการ "ตัดสิทธิ" ของบุคคลในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญหรือไม่...

นี่จึงเป็นเหตุให้เกิด "กระแสต้านรุนแรง" ในฝ่ายพิฆาตรัฐธรรมนูญที่ยึด โยง "เสียงข้างมากในสภา" ซึ่งตามกระบวนการต้องไปสิ้นสุดที่การชี้ขาดของ "ตุลาการทั้ง 9 คน" เป็นผลให้ "กุนซือรัฐบาล" และเซียนการเมืองในมุ้งค่ายเพื่อไทย ต่างเปรียบเปรย "ศาลรัฐธรรมนูญ" ว่าเป็น "ดาบที่แปดเปื้อน" ...!!!

ตามรหัสทางความคิดของกูรูกฎหมาย อย่าง "ผศ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล" อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ได้กางตำราตีความใน "มาตรา 68" ...ซึ่งเขายอมรับว่า "ไม่เห็นด้วย" กับศาลรัฐธรรมนูญที่มารับวินิจฉัยคำร้องตามมาตรา 68 และยังเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังทำทางเพื่อเล่นการเมือง เสียเอง เพราะตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 68 บทบาทของมันคือกลไกการ "ป้องกันตัวเอง" ของรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการแสดงออก เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองไม่ให้ใช้ "สิทธิเสรีภาพพื้นฐาน" เหล่านั้นมาล้มล้างระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญ จึงต้องมีการจำกัดขอบเขตเอาไว้ และยังเชื่อมโยงกับ "ข้อต้องห้าม" ของพรรคการเมือง เมื่อพรรคการเมืองใดที่ล้ม ล้างระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญย่อมไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญ

"มาตรา 68 ที่ขัดแย้งกันเยอะ เพราะถ้าจะทำอะไรที่เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วมันเข้ามาตรา 68 จากนี้ไปคนที่ไม่อยากให้แก้รัฐธรรมนูญ ก็จะมีการร้องศาลรัฐธรรมนูญได้หมด แล้วศาลก็อาจมีส่วนได้ส่วนเสียได้ ถ้ามีการแก้ไขบทบัญญัติที่เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ เอง ปัญหาความขัดแย้งก็ยิ่งเกิดหนักเข้าไปอีก"

ขณะเดียวกัน การที่ศาลเพิ่มอำนาจ ให้ตัวเองตามที่รับคำร้องในมาตรา 68 อาจ เป็นกลไกการป้องกันหรือทำทางเอาไว้ มิให้ฝ่ายนิติบัญญัติมาลดอำนาจศาล เนื่อง จากรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนไว้ว่า "เป็นเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ" ช่องทางที่พอเห็นเป็นทางมายังศาลรัฐธรรมนูญได้ ก็มีแต่มาตรา 68 ถึงแม้ศาลยกคำร้องเรื่อง การแก้ไขมาตรา 291 เพื่อให้มี ส.ส.ร.ว่าไม่เป็นการล้มล้างการปกครองก็ตาม แต่ศาลก็ทำเป็นทางไว้ว่าครั้งนี้ "ไม่ล้มล้าง" เพราะยังไม่เริ่มร่างรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าหาก มีการดำเนินการเมื่อไหร่ แล้วมีใครเห็นว่า จะเป็นการล้มล้างก็ค่อยมาร้องใหม่ เพราะ มันมีทางปูไว้แล้ว...

"ปริญญา" ย้ำหัวตะปูว่า มันเป็นเกมที่ศาลกำลังเปิดช่องให้ตัวเองลงมาเล่น เกมการเมืองบนกระดาน ในแง่ที่ว่าให้ศาล รัฐธรรมนูญลงมาตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งมันผิดหลักการตรวจสอบ ถ่วงดุลและการแบ่งแยกอำนาจ!!!

ในรหัสที่ว่าด้วยการต่อสู้ทางการเมืองนั้น "ปริญญา" ชี้ว่า ปัญหาทั้งหมดก็อยู่ที่ "มาตรา 68" เพราะมันเป็นความระแวงของ "ฝ่ายค้าน" ที่เห็นว่าพรรคเพื่อไทยที่เป็นเสียงข้างมากในสภา ต้องการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 หรืออย่างเบาลงมาก็ไปยกเลิกมาตรา 309 ยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ ยกเลิกการตรวจสอบถ่วงดุล ดังนั้นถ้าต้องผ่านอัยการสูงสุดก่อน แล้วอัยการสูงสุดเห็นว่าไม่ส่งให้ศาล เขาก็ไม่มี ช่องทางในการถ่วงดุลหรือต่อกรกับพรรค เพื่อไทยได้เลย แต่หากประชาชนฟ้องตรง ต่อศาลได้ ก็แปลว่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ฟ้องตรงได้ สามารถเปิดเกมได้หมด ฉะนั้นเกมที่เอากลับไปที่ศาลได้เมื่อไหร่ มันก็เป็นเกมที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการ ในเมื่อตัวเองยกมือแพ้ในสภา เขาก็เลยเอาศาลรัฐธรรมนูญสู้ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงยืนยันว่าไม่ยอมให้แก้ไขมาตรา 68 เพราะถ้าให้ยื่นต่ออัยการสูงสุดก่อนเขาจะ "คุมเกมไม่ได้"

ทางด้าน "สุจิต บุญบงการ" อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้ระบุถึงการตีความเจตนารมณ์ของ "มาตรา 68" และเป้าหมายแท้จริงของ "ฝ่ายพิทักษ์" กับ "ฝ่ายพิฆาตรัฐธรรมนูญ" ไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง...

"ตามมาตรา 68" ที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 เข้าใจว่าต้องการให้มีการถ่วงและดุลอำนาจระหว่างฝ่าย นิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายประชาชนจริงๆ แล้วรัฐธรรมนูญทุกยุคทุกสมัยได้ให้บทบาทสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งเรียกรวมกันว่ารัฐสภาค่อนข้างมาก เพราะถือว่าเป็นตัวแทนของประชาชน แต่ในขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญ ฉบับหลังๆ ก็ต้องการให้ประชาชนมีส่วน ใช้อำนาจความเป็นเจ้าของอธิปไตย ใน การถ่วงดุลและคานการทำงานของรัฐบาล รวมถึงการทำงานของรัฐสภาด้วย"

ยิ่งในมาตรา 68 บอกไว้ว่า หากเขาคิดว่าจะมีกระบวนการหรือนโยบายใดที่จะ "ล้มล้างรัฐธรรมนูญ" สามารถฟ้องได้ 2 ทาง คือ ฟ้องโดยตรงไปยังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือฟ้องโดยผ่านอัยการ ทีนี้ฝ่ายรัฐบาลจะแก้เป็นให้ฟ้องโดยผ่านอัยการเท่านั้น จึงเท่ากับเป็นการลดและตัดสิทธิของประชาชนที่จะ "ฟ้องโดยตรง" โดยที่ฝ่ายรัฐบาลอาจบอกว่าอัยการจะได้ไป ตรวจสอบขั้นต้นก่อนว่ามีมูลหรือไม่ แต่ฝ่าย ที่ต้องการคงไว้ซึ่งมาตรา 68 เดิมอาจคิดว่า อัยการอาจได้รับอิทธิพลจากฝ่ายการเมือง ได้ ดังนั้นควรให้ประชาชนฟ้องผ่านไปยังศาล รัฐธรรมนูญได้ ซึ่งศาลจะพิจารณาเองว่าคำฟ้องใช้ได้หรือไม่ถ้าใช้ไม่ได้ก็ไม่รับฟ้อง

เมื่อดูรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือรัฐธรรมนูญปี 2550 จะเห็นว่า ได้พยายาม ทำ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน คือ 1.ให้มีการ ถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน ไม่ให้ฝ่ายหนึ่ง มีอำนาจในการบริหารชาติบ้านเมืองมากเกินไป และ 2.ให้ประชาชนมีสิทธิเรียกร้อง ได้ว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกำลังละเมิดรัฐธรรมนูญ เพื่อจะได้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกัน ดังนั้นฝ่ายที่กำลังแก้ไข ก็ไม่น่าตีตนไปก่อน ไข้...แต่ก็สังเกตดูแล้ว ก็อาจเป็นไปได้ว่า "เป็นความรู้สึกไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีอยู่แต่เดิมอยู่แล้ว" จึงเกิดความหวาด ระแวงขึ้นว่า..อีกฝ่ายจะลุแก่อำนาจ!

เหนืออื่นใด คงต้องยอมรับว่าปัญหา ทั้งหมดเป็นการตีความคำว่า "ประชาธิปไตย" ที่ผิดเพี้ยน..ไม่ตรงกัน

เพราะฝ่ายพิทักษ์รัฐธรรมนูญบอกว่า แม้มีเสียงข้างมาก แต่นำไปใช้ในทางที่ผิดไม่ได้ ขณะที่ฝ้ายล้มรัฐธรรมนูญก็แย้งว่า การขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็น ประชามติของคนกลุ่มย่อยเท่านั้น ซึ่งในประเทศที่เป็นอารยะทั้งหลาย เขาต่างยอม รับว่าการใช้เสียงข้างมากเป็นสิ่งที่ถูกต้องจริง แต่ขณะเดียวกันต้องสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งไม่ใช่การตรวจสอบทุกเรื่อง แต่เป็นเพียงบางเรื่องเท่านั้น อันนี้เป็นจุดที่น่าสนใจ เพราะเรามักจะอ้างเสียง ข้างมากกันตลอดเวลา ทั้งที่เสียงข้างมากก็ต้องมีการถ่วงดุล

"เดี๋ยวนี้สังคมมีความขัดแย้งกันมากขึ้น ก็เห็นใจว่าศาลรัฐธรรมนูญว่าวางตัวลำบากมากขึ้น และถูกมองว่าเข้าข้างฝ่ายโน้นฝ่ายนี้.."

แต่ถึงวันนี้ นอกจาก "โจทก์" และ "จำเลย" ต้องสืบค้น "ข้อเท็จจริง" และ "ข้อกฎหมาย" มาหักล้างแล้ว บรรดากองเชียร์ยังพยายามสืบสาแหรก "ตุลาการ" มาอภิปราย "บุคคลบนบัลลังก์" ที่ข้างตัวเองระบุ...ไม่น่าไว้วางใจ

"ถ้าไม่ไว้ใจก็ฟ้องร้องได้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถูกฟ้องร้องว่าทำผิดได้ เรียกว่าทุจริตในกระบวนการยุติธรรม มัน มีกฎหมายเขียนไว้ค่อนข้างจะรุนแรง ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เมื่อมีกฎหมาย เขียนไว้อย่างนี้แล้ว ทำไมเขาไม่ฟ้องร้อง ทั้งที่สามารถทำได้ เหมือนกับไม่ค่อยแน่ ใจว่ามันผิดหรือเปล่า ก็เลยใช้วิธีการให้ สังคมพิจารณาเอาเอง..."

ที่เห็นและเป็นไป..ไม่ว่า "ศาลรัฐธรรมนูญ" จะอิงหลักนิติศาสตร์มาใช้อย่างเคร่งครัด หรือเอา "หลักรัฐศาสตร์" มาร่วมในการ "วินิจฉัย" ...แต่เหนืออื่นใด "ตุลาการ" ยังมีความจำเป็นต้อง "ยึดหลักความถูกต้อง" ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ...นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด?!!


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ