Toggle navigation
วันพฤหัสบดี ที่ 19 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
วิเคราะห์-บทความ-คอลัมน์
"TDRI" โต้ "พันศักดิ์" จุดเสี่ยงความเร็วสูง!!
"TDRI" โต้ "พันศักดิ์" จุดเสี่ยงความเร็วสูง!!
วันพฤหัสบดีที่ 09 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
Tweet
จากกรณีที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ออกมาวิเคราะห์เรื่อง "ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินฯ : เดินหน้าอย่างไรให้ถูกทาง คุ้มค่า และเป็นประชาธิปไตย" ซึ่งหนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ รวมถึงสื่ออีกหลายแขนงได้นำ เสนอไปนั้น ได้รับความสนใจจากนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี พร้อมออกมาชี้แจงว่ารถไฟความเร็วสูงไม่ใช่ภาระหนี้สิน แต่คือโอกาสใหม่ของการสร้างรายได้
ทางทีดีอาร์ไอ โดย ดร.สมชัย จิตสุชน และ ดร.สุเมธ องกิตติกุล ได้ออกมาน้อมรับความคิดเห็นดังกล่าวพร้อมขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกลับ ดังนี้
+ ลงทุนหรือไม่ลงทุน..อยู่ที่ "ความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส" ของการศึกษาความเป็นไปได้
จากที่คณะทำงานฯ ชี้แจงว่าโครงการ รถไฟความเร็วสูงของไทยมีความคุ้มค่าแก่การลงทุน โดยพิจารณาจากผลการประมาณ การจำนวนผู้โดยสารขั้นต่ำซึ่งจัดทำโดย Third Railway Survey and Design Institute Group Corporation (TSDI) เมื่อเดือนสิงหาคมและตุลาคม 2555 ซึ่งระบุว่า เพียงแค่เส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ-หนองคาย "รวมกัน" ก็จะมีปริมาณผู้โดยสาร สูงถึง "23.8 ล้านคน-เที่ยว" ในปี 2563 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขที่ผู้เขียนเคยระบุว่ารถไฟความเร็วสูงควรมีผู้โดยสารในปีแรกสูงถึง "9 ล้านคน-เที่ยว" เป็นอย่างน้อย จึงจะคุ้มค่ากับต้นทุนดำเนินงาน
ผู้เขียนขอชี้แจงว่า "ตัวเลข 9 ล้านคน-เที่ยว" ของผู้เขียนเป็นตัวเลขของจำนวน ผู้โดยสารคุ้มทุนสำหรับเส้นทางรถไฟ หนึ่งเส้นทางที่มีระยะทาง 500 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่สั้นกว่ากรุงเทพฯ-หนองคาย (530 กิโลเมตร) การที่คณะทำงานฯ เปรียบ เทียบตัวเลข "23.8 ล้านคน-เที่ยว" ซึ่งเป็นการรวมสองเส้นทางเข้าด้วยกันและมีเส้นทางที่ยาวกว่า กับ "9 ล้านคน-เที่ยว" เพื่อบอกว่าแม้ใช้ตัวเลขของทีดีอาร์ไอเองก็ยังคุ้มทุน จึงเป็นการใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม คณะทำงานฯ หรือผู้อ่านก็อาจแย้งว่าแม้จะปรับลดตัวเลข "23.8 ล้านคน-เที่ยว" ลงตามสัดส่วนระยะทางให้เหลือ 500 กิโลเมตรก็จะได้ตัวเลขสูงกว่า 9 ล้านคน-เที่ยว อยู่ดี แสดงว่ายังคงคุ้มทุน ซึ่ง ก็อาจถูกต้อง แต่ประเด็นนี้มิใช่สิ่งที่ผู้เขียน ต้องการสื่อ ผู้เขียนอยากจะตั้งข้อสังเกตมาก กว่าว่า ในปีแรกๆ ที่เปิดดำเนินการจำนวนผู้โดยสารจริงจะมีจำนวนเท่าใด เท่ากับจำนวนที่คุ้มทุนหรือไม่ ไม่ว่าตัวเลขนั้นจะเป็น 9 ล้านคน-เที่ยว หรือ 23.8 ล้านคน-เที่ยว
ตัวอย่างเช่น เมื่อพิจารณาจำนวนผู้เดินทางโดยสายการบินต้นทุนต่ำกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ในปัจจุบัน พบว่ามีเพียงปีละ 5 ล้าน คน-เที่ยว ซึ่งหากรถไฟความเร็วสูงเกิดขึ้นจริง ก็คงแบ่งจำนวนผู้โดยสารจากสายการ บินต้นทุนต่ำมาส่วนหนึ่ง (น้อยกว่า 5 ล้าน คน) ในขณะที่จำนวนผู้โดยสารที่เปลี่ยนจาก การเดินทางช่องทางอื่นหรือจำนวนผู้โดยสาร ใหม่ที่ไปเชียงใหม่เพิ่มขึ้นเพราะมีรถไฟความเร็วสูงให้ใช้บริการจะเป็นจำนวนเท่าไร ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด
ผู้เขียนจึงเรียกร้องให้เปิดเผยวิธีการ คำนวณแบบจำลองที่ใช้ และสมมติฐานต่างๆ ที่นำไปสู่การคาดการณ์จำนวนผู้โดย สาร ซึ่งเป็นตัวกำหนดที่สำคัญต่อผลการวิเคราะห์ความเป็นไปได้
เหตุที่ผู้เขียนต้องการให้เปิดเผยราย ละเอียดของการศึกษาความเป็นไปได้ของโครง การไม่ว่าจะเป็นระดับ Pre-Feasibility Study ระดับ Feasibility Study และ ไม่ว่า จะจัดทำโดยหน่วยงานใด เพราะต้องการให้ การศึกษาความเป็นไปได้มี "ความน่าเชื่อถือ" และ "ความโปร่งใส" โดยเฉพาะในเรื่องการประมาณการต้นทุนโครงการและจำนวนผู้โดยสาร
งานวิจัยของ Flyvbjerg (2009) ระบุ ปัญหาของโครงการขนาดใหญ่ในอดีตว่ามีปัญหาด้านต้นทุนการก่อสร้างโครงการที่สูง กว่าที่คาดการณ์ (Cost overruns) และผล ประโยชน์ที่ได้รับน้อยกว่าที่คาดการณ์ (Benefitshortfalls) หลังจากโครงการเริ่มดำเนินการไปแล้ว กล่าวคือ มีจำนวนผู้ใช้งานจริงน้อยกว่าจำนวนที่ระบุในการศึกษา ความเป็นไปได้ ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ได้รวบรวม ข้อมูลของโครงการขนาดใหญ่มากกว่า 200 โครงการ จาก 20 ประเทศ ใน 5 ทวีป พบว่า ต้นทุนของโครงการด้านรถไฟมีค่าเฉลี่ยต้น ทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึงร้อยละ 44.7 และในส่วนของการคาดการณ์ผู้โดยสารที่ใช้บริการ พบว่าโครงการด้านรถไฟมีจำนวน ผู้โดยสารจริงน้อยกว่าการคาดการณ์จำนวน ผู้โดยสารมากถึงร้อยละ 51.4 โดยพบว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการศึกษาความเป็นไปได้จัดทำหรือจัดจ้างโดยหน่วยงานที่จะเป็นผู้ดำเนินการเอง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ผู้เขียนเสนอให้การศึกษาความเป็นไปได้จัดทำโดย หน่วยงานเป็นกลางและมีการตรวจสอบโดยองค์กรอิสระอีกชั้นหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศไทยไม่ประสบปัญหาซ้ำรอยดังเช่น ที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศ
+ รถไฟความเร็วสูง กับ "ค่าเสียโอกาส" และ "ความเสี่ยง" ของการลงทุน
คณะทำงานฯ ระบุว่ารัฐบาลวางแผน สร้างรายได้อื่นนอกเหนือจากการให้บริการรถไฟความเร็วสูงจนทำให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้และไม่เป็นภาระต่อภาครัฐ
ผู้เขียนเห็นด้วยว่าการเพิ่มการพิจารณา รายได้อื่นแบบ non-rail เพื่อเพิ่มรายได้รวม ของโครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูงเป็นเรื่องที่ทำได้ และสามารถใช้เป็นเกณฑ์ "เบื้องต้น" ในการตัดสินใจว่าควรสร้างรถไฟความเร็วสูงหรือไม่ กล่าวคือ หากรายได้รวมทั้งหมดสูงกว่าต้นทุนการก่อสร้าง ก็ควรสร้างรถไฟความเร็วสูง และในทางตรงข้าม หากรายได้รวมต่ำกว่าก็ไม่ควรสร้าง
อย่างไรก็ตาม การทุ่มเทเงินภาษีของ ประชาชนจำนวนมากในโครงการใดโครงการ หนึ่งต้องคำนึงถึงปัจจัยที่มากกว่านั้น ทฤษฎี เศรษฐศาสตร์เบื้องต้นสอนเราว่าการพิจารณา ต้นทุนที่ถูกต้องควรคำนึงถึง "ค่าเสียโอกาสในการลงทุน" มากกว่า กล่าวคือ หากนำเงินจำนวนเดียวกันไปลงทุนในโครงการอื่นจะได้ "รายได้รวม" จากโครงการเหล่านั้นมากกว่ารายได้รวมจากการลงทุนในรถไฟ ความเร็วสูงหรือไม่
ตัวอย่างเช่น หากเพิ่มการลงทุนในระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารให้สมบูรณ์มากกว่าที่เสนอในร่าง พ.ร.บ. (ซึ่งอาจรวมทั้งการปรับปรุงระบบราง ส่วนใหญ่ให้เป็นรางมาตรฐาน เพื่อให้สามารถเพิ่มความเร็วในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร) ก็สามารถมีรายได้อื่นแบบ non-rail เช่น รายได้จากส่วนของ "สถานี" ได้เช่นกัน ในขณะที่ก็อาจได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากระบบรางของรถไฟทางคู่มาก กว่าระบบรางรถไฟความเร็วสูง จนทำให้ราย ได้รวมสูงกว่าการนำเงินไปลงทุนในโครงการ รถไฟความเร็วสูงก็เป็นได้
มิพักต้องกล่าวถึงว่า หากพิจารณาเรื่องความเสี่ยงของการลงทุนเข้าไปด้วย ดูเหมือนว่ารถไฟความเร็วสูงจะมีความเสี่ยง เรื่องการประมาณการจำนวนผู้โดยสารดังที่ได้กล่าวถึงแล้ว เพราะเป็นสิ่งที่คนไทยไม่เคยใช้บริการมาก่อนจึงประมาณการผู้โดยสารได้ยากกว่าการใช้รถไฟปกติ นั่นยิ่งทำให้เราต้องระมัดระวังในการด่วนสรุป ว่ารถไฟความเร็วสูงคือการลงทุนที่ดีที่สุดจากเงินจำนวนเดียวกันนี้
+ รถไฟความเร็วสูงกับ "ผลประโยชน์ทางอ้อม"
จากที่คณะทำงานฯ อ้างถึงผลการสำรวจของกระทรวงคมนาคม ซึ่งพบว่า "จำนวนผู้ใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่าน มา มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อการขยาย ตัวของ GPP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด) ในจังหวัดต่างๆ ในระดับภูมิภาค" และระบุว่า "รถไฟความเร็วสูงจะทำหน้าที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว และการขยายตัวของ GPP" รวมทั้งประโยชน์อื่นๆ เช่นการกระจาย สินค้าของบริษัทไปรษณีย์ไทย
ผู้เขียนมีความเห็นว่าความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่าง GPP และจำนวนผู้ใช้บริการ สายการบินต้นทุนต่ำนั้นเป็นเรื่องที่คาดการณ์ ได้โดยปกติอยู่แล้ว แต่ไม่ชัดเจนว่าเป็นความสัมพันธ์ในทิศทางใด กล่าวคืออาจเป็น ไปได้เช่นกันว่า GPP สูงขึ้นจากสาเหตุอื่นก่อน จากนั้นจึงมีผลทำให้จำนวนผู้โดยสาร เพิ่มขึ้นตาม อีกทั้งต่อให้ความสัมพันธ์เป็นไปในทิศทางที่คณะทำงานฯ โน้มน้าวให้เชื่อ แต่ความสัมพันธ์นั้นมาจากจำนวนผู้โดยสาร สายการบินต้นทุนต่ำ มิได้เกี่ยวข้องกับรถไฟ ความเร็วสูงโดยตรง ในขณะที่รถไฟความ เร็วสูงจะไปแย่งชิงผู้โดยสารจากสายการบินต้นทุนต่ำจำนวนหนึ่งซึ่งอาจมีผลทำให้จำนวนผู้โดยสารรวม (สายการบินต้นทุนต่ำรวมกับรถไฟความเร็วสูง) เพิ่มขึ้นไม่มาก เท่าที่อยากเห็น ผลต่อ GPP จึงน้อยกว่าที่ประมาณได้เช่นกัน
เช่นเดียวกับกรณีรายได้รวม การวิเคราะห์ถึงผลประโยชน์รวมที่รวมผลทางอ้อมที่เกิดกับภาคเศรษฐกิจอื่นนั้นควรทำกับการลงทุนในทุกกรณี เพราะผลทางอ้อมมิได้เกิดขึ้นกับรถไฟความเร็วสูงเพียงเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากใช้เงินจำนวนเดียว กันไปลงทุนในระบบรถไฟทางคู่ ต้นทุนการ ขนส่งสินค้าที่ลดลงย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ ในวงกว้างต่อภาคธุรกิจอื่นเช่นกัน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งต่อภาคการส่งออกซึ่งเป็นเครื่อง จักรสำคัญของเศรษฐกิจไทยมาตลอด และเกี่ยวโยงกับหลายภาคการผลิตมากกว่า การท่องเที่ยว ประโยชน์ทางอ้อมจึงน่าจะสูงกว่ารถไฟความเร็วสูงด้วยซ้ำไป
นอกจากนี้ ประโยชน์ของการขนส่งสินค้าของรถไฟความเร็วสูงนั้นจำกัดกว่ารถไฟทางคู่ ตัวอย่างที่คณะทำงานฯ ยกมา เรื่องการจัดส่งพัสดุและสินค้าอาหารของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด นั้นชัดเจนว่ามีขนาดของประโยชน์น้อยกว่ากรณีรถไฟทางคู่ ซึ่งส่งเสริมการขนถ่ายสินค้าหลากหลายประเภทและในปริมาณและมูลค่าที่สูงกว่ามาก
อีกตัวอย่างที่ชัดเจนของประโยชน์ทางอ้อมที่น่าจะมากกว่าการลงทุนรถไฟความเร็วสูงคือการลงทุนด้านนวัตกรรม การวิจัยและพัฒนา โดยหากโยกเงินที่ใช้สำหรับสร้างระบบรถไฟความเร็วสูงมาลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R{amp}D) ก็จะทำให้สัดส่วนการลงทุน R{amp}D ต่อรายได้ ประชาชาติเพิ่มเป็นร้อยละ 1 ต่อเนื่องยาวนานถึงเกือบสิบปี ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าการลงทุน R{amp}D เป็นหัวใจที่ตัดสินว่าประเทศจะหลุดพ้นหรือก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้หรือไม่ และเป็นที่ทราบเช่นกันว่ารัฐบาลยังมิได้แสดงความมุ่งมั่นชัดเจนกว่าการกล่าวด้วยวาจาว่าจะเพิ่มการ ใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจัง ยัง มิพักต้องพูดถึงการใช้จ่ายด้านสังคมในการ ดูแลผู้สูงอายุที่ขาดลูกหลานดูแล เด็กพิการ เด็กกำพร้า และผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ ที่น่าจะได้รับการจัดสรรงบประมาณน้อยลงในระยะยาว
+ รถไฟความเร็วสูงกับ "นโยบายประชานิยม"
การสร้างรถไฟความเร็วสูงไม่จำเป็นต้องเป็นนโยบายประชานิยม ส่วนหนึ่งเพราะยังไม่ชัดเจนว่าประชาชนจะ "นิยม" มากน้อยเพียงใด (แม้ภาคธุรกิจก่อสร้างและ นักการเมืองที่เกี่ยวข้องจะนิยมค่อนข้างแน่) แต่ประเด็นที่สำคัญกว่าคือการวางแผนการใช้ทรัพยากรการเงินที่จำกัดของประ- เทศในทิศทางใดจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยความเสี่ยงน้อยสุดหรือในระดับที่รับได้มากกว่า
อย่างไรก็ตาม บทความของผู้เขียนที่คณะทำงานฯ กล่าวถึงรวมทั้งบทความนี้มิได้ต้องการชี้ชัดว่ารถไฟความเร็วสูงนั้นต้องเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าอย่างแน่นอนและไม่ควรสร้าง การยกตัวอย่างข้างต้นก็เป็นเพียงการคาดเดาไม่ต่างไปจากการกล่าวอ้างผลประโยชน์ทางบวกของรถไฟความเร็วสูง ประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนต้อง การสื่อคือเสนอให้มีการปรับปรุงกระบวน การตัดสินใจลงทุนตามร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ให้มีความรอบคอบ มีหลักเกณฑ์และใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง มีความโปร่งใส และเป็นประชาธิปไตย
ทั้งนี้ทั้งนั้นบทความนี้มิได้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อชี้นำว่ารถไฟความเร็วสูงเป็นสิ่งที่สมควรมีหรือไม่ แต่จุดประสงค์เพื่อร่วมกันสร้างกระบวนการตัดสินใจลักษณะ ดังกล่าวของภาคประชาชน!!..
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
ภาษีบุหรี่ ค้างคา "แช่แข็ง" ไม่เดินหน้...
...
อะไรคือ ? โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มา...
...
ttb analytics มองเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็ง...
...
มาตรการ MPOWER เสาหลักกฎหมายควบคุมผลิตภั...
...
“ทักษิณ” พ่อมดการเมือง????...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ