ออสสิริส ชี้เดือน พ.ย. เฝ้าระวังสงครามคลี่คลาย ทองเสี่ยงลงแรง

วันพุธที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ออสสิริส ชี้เดือน พ.ย. เฝ้าระวังสงครามคลี่คลาย ทองเสี่ยงลงแรง


ออสสิริส (Ausiris) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Gold Investment เผยแนวโน้มราคาทองคำเดือนพฤศจิกายน 2566 สองขั้วสถานการณ์สงครามส่งผลราคาทอง คาดราคาทองระอุอาจทะลุ 2,010 ดอลลาร์ และอาจทำจุดสูงสุดอีกครั้งที่ระดับ 2,080 ดอลลาร์ หากสัญญาณสงครามขยายวงกว้าง เผยในทางตรงกันข้ามหากสงครามคลายความตึงเครียดลดลง ราคาทองคำอาจเผชิญแรงเทขายทำกำไรออกมาจำนวนมาก เช่นเดียวกับกรณีสงครามระหว่างประเทศยูเครน -รัฐเซีย และระหว่างประเทศอื่น ๆ ในอดีต

นายพีระพงศ์ วิริยะนุเคราะห์ นักวิจัยอาวุโส แผนก Ausiris Intelligence บริษัท ออสสิริส จำกัด กล่าวถึงสรุปสถานการณ์ราคาทองในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งเดือน และทำ New High สูงสุดในรอบ 5 เดือนครึ่งที่ระดับ 2,009 ดอลลาร์ (อ้างอิง ณ วันที่ 27 กันยายน) ปิดบวกเพิ่มขึ้น 8.7% ที่ระดับ 2,005 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับราคาปิดช่วงสิ้นเดือนกันยายนที่ระดับ 1,848 ดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนหลักจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย นับตั้งแต่เริ่มต้นสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ทำให้ราคาพุ่งขึ้นราว 165 ดอลลาร์ แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าที่สุดในรอบ 11 เดือน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ปรับตัวสูงสุดในรอบ 17 ปี จากการที่นักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยหลังประธานเฟดยังส่งสัญญาณการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังไม่ปรับลดลงตามที่เฟดคาดหวังไว้ โดยมีเป้าหมายที่ระดับ 2% ทำให้คาดการณ์ว่า เฟดอาจมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ 1 ครั้ง ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงนานขึ้น

ขณะที่ราคาทองในประเทศที่ปรับตัวพุ่งขึ้นสูงที่สุดในประวัติศาสตร์โดยราคาทองคำแท่ง 96.5% ราคาขายออกสูงสุดบาทละ 34,250 บาท สำหรับราคาทองรูปพรรณขายออกสูงสุดบาทละ 34,750 บาท โดยปรับตัวขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับราคาขายออกสูงสุดของเดือนก่อน หลังราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น และได้รับแรงหนุนจากค่าเงินบาทที่ยังเคลื่อนไหวเหนือ 36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และทำ New High อ่อนค่าสุดรอบกว่า 11 เดือน ที่ระดับ 37.24 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

นายพีระพงศ์ กล่าวต่อว่า สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองในเดือนพฤศจิกายน ได้แก่ การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 2 พฤศจิกายน โดยเฉพาะความคิดเห็นของคุณเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดว่า จะส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อต่อหรือไม่ หรือคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน และมองเศรษฐกิจในภาพรวมเป็นอย่างไร ซึ่งออสสิริสประเมินว่าเฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.50% ในการประชุมรอบนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี แต่ไม่ปิดโอกาสที่จะปรับขึ้นต่อในเดือนธันวาคม พร้อมทั้งแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงนานขึ้น เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่มีสัญญาณการเกิดเศรษฐกิจถดถอย หลังข้อมูลตลาดแรงงานงานยังแข็งแกร่ง และเงินเฟ้อยังมี่ท่าทีว่าจะลดลงตามเป้าหมายที่ระดับ 2% ซึ่งคือสิ่งที่ต้องพึงระวังว่า เฟดอาจจะเปลี่ยนมุมมองที่จะขึ้นดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อลดเงินเฟ้อที่ไม่มีท่าทีที่จะลดลงซึ่งจะเป็นผลลบต่อราคาทองคำ

ต่อมาคือในประเด็นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ วันที่ 6 พฤศจิกายนนี้ จะสะท้อนความแข็งแกร่งด้านตลาดแรงงาน โดยจะเป็นมาตรวัดหนึ่งที่เฟดจะใช้ในการประเมินทิศทางดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ หากตัวเลขแรงงานออกมาดี อาจเพิ่มแนวโน้มโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ (ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ) หากออกมาแย่อาจเพิ่มแนวโน้มโอกาสที่เฟดอาจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป (ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ) ซึ่งเราประเมินว่า ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐอาจมีการปรับลดลงเล็กน้อยจากผลกระทบในเรื่องของการประท้วงขึ้นค่าแรง ผลกระทบจากต้นทุนการประกอบการณ์ที่สูงขึ้น ผลกระทบทางอ้อมสำหรับสงครามในตะวันออกกลาง และอื่น ๆ แต่ภาพรวมยังสะท้อนความแข็งแกร่งด้านตลาดแรงงานอยู่อ้างอิงจากตัวแรงงานและอื่น ๆ ล่าสุด ที่ผ่านมาในเดือนตุลาคม

นอกจากนี้ยังมีรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core Consumer Price Index (CPI)) ที่จะประกาศในวันที่ 14 พฤศจิกายน โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ประจำเดือนกันยายน โดยมีประกาศเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ยังทรงตัวที่ระดับ 3.7% ทำให้ภาพรวมเงินเฟ้อในปัจจุบันยังห่างจากของเป้าของเฟดอยู่ที่ระดับ 2% ต้องมาติดตามกันต่อในส่วนของตัวเลขเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคมว่า เงินเฟ้อจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด ซึ่งเราประเมินว่าตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ น่าจะยังเคลื่อนไหวเหนือระดับ 3.5% ที่ยังสะท้อนเงินเฟ้อนั้นยังอยู่ในระดับสูง จากตัวแปรในเรื่องของเศรษฐกิจ ต้นทุนพลังงาน และอื่น ๆ ซึ่งจะยังเป็นปัจจัยหนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หรือหนุนให้เฟดคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ

ส่วนในช่วงปลายเดือน วันที่ 22 พฤศจิกายน จะมีการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) อีกครั้งที่จะพูดถึงทิศทางเศรษฐกิจ แนะแนวโน้มการดำเนินนโยบายทางการเงินในอนาคต ท่ามกลางเงินเฟ้อสูง การชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก การประท้วงของแรงงาน และตลาดการเงินที่อยู่ในภาวะตึงตัว หากส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยหรือยุติการขึ้นดอกเบี้ยทองจะได้รับปัจจัยบวกทันที แต่หากส่งสัญญาณความจำเป็นสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยต่อหรือการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานขึ้น ทองจะได้ปัจจัยลบจากปัจจัยดังกล่าวทันที และในวันที่ 30 พฤศจิกายน จับตาดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลสหรัฐฯ ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ประจำเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯให้ความสำคัญหากสะท้อนว่าเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะสนับสนุนเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ (ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ) แต่หากสะท้อนเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอาจลดการคาดการณ์ว่า เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย (ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ) โดยออสสิริสประเมินว่า ดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลสหรัฐฯ ประจำเดือนตุลาคมน่าจะยังสะท้อนภาวะเงินเฟ้อสหรัฐที่น่าจะยังทรงตัวในระดับสูงอยู่ หากเป็นไปตามคาดการณ์ก็จะเพิ่มโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยอีก 1 ครั้ง หรืออาจคงดอกดอกเบี้ยในระดับสูงได้นานขึ้น (ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ)

นายพีระพงศ์ กล่าวถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อราคาทองคำในเดือนพฤศจิกายนว่า ภาพรวมจะมีทั้งหมด 6 ด้าน ได้แก่

1. ความเคลื่อนไหวของสกุลดอลลาร์สหรัฐ: แม้ว่าสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ แนวโน้มใหญ่ยังเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่า จากการเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟดเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ แต่ก็ยังมีโอกาสพลิกกลับมาอ่อนค่าได้บ้าง โดยเรามีมุมมองว่าแม้ FED จะส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อในปลายปีนี้ หากขึ้นจริงก็น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ย คาดว่าดังนั้นอัตราดอกเบี้ยเฟดจะสูงสุดของปีนี้ไม่เกินที่ 5.75% ซึ่งเราประเมิณว่าเฟดน่าจบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว ซึ่งหากเฟดส่งสัญญาณใกล้ยุติการขึ้นดอกเบี้ยชัดเจนมากขึ้นดอลลาร์จะมีแนวโน้มอ่อนค่าทันที (ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อทอง)

2. ความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ: มีโอกาสกลับตัวจากการขายทำกำไรหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นทำไฮสูงสุดในรอบ 17 ปี ที่ระดับ 5% อีกทั้งเฟดก็ใกล้ถึงจุดยุติการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ซึ่งมุมมองดังกล่าวอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนคลายความกังวลว่าบอนด์ยีลด์จะปรับตัวขึ้นแรงและทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวเพิ่มเติมจะส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสทยอยปรับตัวลดลงซึ่งจะเป็นผลบวกต่อทอง กลับกันหากอัตราผลตอบแทนกลับปรับตัวพุ่งต่อ อาจเป็นปัจจัยกดดันราคาทอง เนื่องจากทองคำไม่มีผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย

3. สหรัฐอาจเผชิญแรงกดดันจากความกังวล หลังหนี้สาธารณะพุ่งทะลุ 33 ล้านล้านดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงเรื่อง Government Shutdown อีกครั้งหากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวได้ทันกำหนด หากเกิดขึ้นจริงจะทำหน่วยงานรัฐบาลกลางจะเริ่มปิดตัวลง ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 30  ก.ย. สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงการชัตดาวน์ด้วยการผ่านร่างงบประมาณระยะสั้นฉบับชั่วคราวหรือที่เรียกว่าเป็นร่างงบประมาณหยุดช่องว่างการใช้จ่ายงบฯ เพื่อให้รัฐบาลกลางเปิดทำการต่อไปได้อีก 45 วัน จนถึงกลางเดือน พ.ย. หมายความว่า นักการเมืองสหรัฐฯ ต้องกลับไปที่โต๊ะเจรจา และสหรัฐฯ อาจเผชิญกับการปิดทำการรัฐบาลอีกครั้ง อาจทำให้เกิดความกังวลต่อตลาดอีกครั้ง ซึ่งอาจทำให้บอนด์ยีลสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาทองเหมือนครั้งล่าสุดที่ผ่านมา

4. การเกิดสัญญาณเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ อันเป็นผลจากการตรึงดอกเบี้ยในระดับสูงหากเกิดวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็นภาคธนาคาร ภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือภาคการเงิน หากเกิดสัญญาณดังกล่าวจะส่งผลบวกกับทองคำทันที อาจหนุนให้ราคาทองทำ High อีกครั้ง

5. สถานการณ์ตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก โดยเฉพาะภูมิภาคตะวันออกกลาง หากเข้าสู่สภาวะตึงเครียด หรือขยายวงกว้างมากขึ้น อาจทำให้นักลงทุนเข้าถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น คาดราคาทองอาจทะลุ 2,010 ดอลลาร์ และอาจแตะ 2,050 – 2,080 ดอลลาร์ ในตรงกันข้ามหากสงครามอยู่ในกรอบจำกัดระหว่าง 2 ประเทศ หรือมีสัญญาณความตึงเครียดลดลง หรือหากกลับเข้าสู่ขั้นตอนการเจรจารได้ ราคาทองคำอาจเผชิญแรงเทขายทำกำไรออกมาจำนวนมากเฉกเช่น กรณีสงครามระหว่างประเทศยูเครนและรัฐเซีย และอื่น ๆ ในอดีต

6. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน: หากรัฐบาลจีนมีมาตรการกระตุ้นและการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจนตัวเลขเศรษฐกิจฟื้นตัวมากกว่าเดือนที่ผ่านมา จะมีผลทำให้ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นในฐานะประเทศที่มีการบริโภคทองคำอันดับต้น ๆ ของโลก

ทั้งนี้แนวโน้มราคาทองคำในมุมทางเทคนิค ล่าสุดราคาทองคำกลับมาเคลื่อนไหวที่ใกล้ระดับ 2,000 ดอลลาร์ อีกครั้งในปลายเดือนตุลาคม ขณะที่ภาพรวมใหญ่ใน TF4H พลิกกลับมาเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้น ราคาทองคำกำลังดีดกลับขึ้นไปใกล้ High เดิม หลังจากย่อพักตัวลงมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันที่ระดับ 1980 ดอลลาร์ แต่ไม่หลุด โดยเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าวยังทำ Slope (ความชัน) เป็นบวกและตัดเส้นค่าเฉลี่ย 100 และ 200 วัน ในทิศทางขึ้นอยู่ แนวโน้มยังเป็น Uptrend สิ่งที่จะเกิดในมุมเทคนิคหากราคาทองคำในตลาดโลกสามารถเบรกแนวต้านสำคัญที่ระดับ 2,010 ดอลลาร์ ทองคำจะมีแนวโน้มขึ้นต่อทันที โดยมีแนวต้านแรกที่ 2,030 ดอลลาร์ มากสุดอาจมีลุ้นทดสอบ High เดิมที่ 2,080 ดอลลาร์ ที่ทำไว้ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในตรงกันข้ามหากไม่สามารถเบรกและปิดเหนือแนวต้าน 2,010 ดอลลาร์ ราคาทองอาจกลับมาเคลื่อนไหว Sideway ในกรอบ 1,953 – 2,000 ดอลลาร์ เพื่อสะสมแรงขึ้นต่อตามแนวโน้มขาขึ้น เนื่องจากมีเปอร์เซนต์สูงที่อาจมีการปรับตัวลงมาชั่วคราวของกราฟแท่งเทียนหลัง RSI อินดิเคเตอร์เริ่มเข้าสู่เขตซื้อสูง (Overbought) เส้นโค้งวิ่งขึ้นไปเหนือ 70 ซึ่งอาจเผชิญแรงเทขายปรับตัวอ่อนค่าลง อีกทั้ง MACD ยังไม่สามารถทำคลื่นขาขึ้นชุดใหม่ ล่าสุดกำลังหดตัวกลับเข้าเส้น Zero Line หรือ 0 ให้จับตาดูหากราคามีการทำ High ใหม่ แต่ MACD กลับทำยอดคลื่นขาขึ้นลดต่ำลง มีโอกาสเกิดสัญญาณ Bearish Divergence ทั้งนี้หากปรับต่ำกว่าแนวรับสำคัญที่ 1,953 ดอลลาร์ ราคาทองจะพลิกกลับเข้าสู่แนวโน้มขาลงทันที และอาจกลับไปพักตัวบริเวณ 1,908 ดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนทองคำระยะยาวหากเราดูสถิติย้อนหลัง 5 ปีล่าสุด ทองยังเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น การลงทุนสินทรัพย์ประเภททองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและเป็นสินทรัพย์น่าลงทุนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดย นายพีระพงศ์ กล่าวสรุป



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ