ยังไงก็ต้อง "ปฏิรูปประชาธิปัตย์"

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ยังไงก็ต้อง


พรรคประชาธิปัตย์อาจเฉยเมย ไม่แยแสต่อความคิดเสนอปฏิรูปพรรคของคุณพิชัย รัตตกุล แล้วแอบใช้กลยุทธ์ "แทงข้างหลัง" สมาชิกอย่าง คุณอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคถูกใส่ร้ายหรือส่งสมุนชั้นปากปลาร้า ไปกล่าวหาว่าคุณอลงกรณ์คิดกบฏต่อพรรคก็ได้

ประวัติศาสตร์เหล่านี้เคยเกิดมาบ่อยภายใต้สังขารพรรคเก่าแก่ที่มีอายุขัยนานมากว่า 65 ปี ที่เริ่มมาตั้งแต่ยุค ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เลขาธิการพรรคคนแรกเคยเบื่อหน่ายการบริหารพรรคของคนยุคนั้น ก็จึงได้ออกมาตั้งพรรคกิจสังคม โดยมีแกนนำพรรคหลายคนถอนตัวออกมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นคุณใหญ่ ศวิตชาตหรือคุณบุญเท่ง ทองสวัสดิ์

ในสายตาคนประชาธิปัตย์ตั้งแต่ยุคนั้น ใครออกจากพรรคมักถูกกล่าวหาว่าเป็นคนเลวมาแล้ว ฉะนั้นยุคต่อๆ มา คนที่ออกจากประชาธิปัตย์จึงเป็นคนเลวในสายตาคนของพรรคเรื่อยมา...ไม่รู้ว่ามันกลายเป็นวัฒนธรรมที่ซึมลึกของพรรคนี้มาได้ยังไง

บางห้วงเวลาก็มีบางคนถอนตัวออกมา แล้วกลับเข้าไปอีก กลายเป็นคนสุกๆ ดิบๆ ของพรรคนี้ที่ไม่รู้ว่าเขาพิจารณาคนโดยใช้อะไรเป็นบรรทัดฐาน

นี่ยังไม่รวมคนจากพรรคอื่นที่พรรคประชาธิปัตย์เคยตำหนิว่าเขาไม่ดี แต่พอเขาเข้ามาร่วมพงษ์ไพบูลย์กับประชาธิปัตย์ คนคนนั้นก็ถูก "ฟอกตัว" ด้วยเครื่องซักฟอกชนิดไหนไม่รู้ จนเขาเสมือนปิดทองเหลืองอร่ามกลายเป็นคนดีไปเสียฉิบ

นี่คือตัวอย่างอีกกรณีหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องนำกลับไปคิดว่า อยู่ในหมวดการปฏิรูปด้วยหรือไม่...หรือว่าควรปล่อยให้เป็นไปตาม "ขี้ปาก" ของคนในพรรคคิดจะพูดให้ "มันปาก" ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็น "วัฒนธรรมประจำพรรค" ไปโดยไม่รู้ตัว

คุณอลงกรณ์กล่าวว่า การปฏิรูปไม่ได้หมายความว่า จะสำเร็จหรือไร้ปัญหา ไปทุกโครงการ แต่เมื่อเกิดปัญหาและมีจุดอ่อน ก็ต้องปรับปรุงแก้ไข...ประเด็นนี้ผมเห็นด้วย โดยเฉพาะท่าทีของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ที่ยึดวิธีการ "พูดซ้ำซาก" ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันผสมไปด้วยถ้อยคำอำพรางบิดเบือนหรือใส่ร้ายมากกว่าข้อเท็จจริง

ยิ่งประชาธิปัตย์มีจุดยืนต่อสู้เผด็จการทหารมาตลอด แล้วเห็นชัดว่า ปฏิวัติ หลังสุดได้แสดงอาการ "เป็นใจ" ให้เผด็จการที่สายตาประชาชนก็เห็นชัดว่า ไม่ควร "ผสมโรง" เหมือนเข้าข้างอย่างน่าเกลียด หรือ ไม่ยอมรับ "ประชาธิปไตยเสียงข้างมาก" แล้วไปกล่าวหาว่าเป็น "เผด็จการเสียงข้างมาก"

ก็ต้องย้อนกลับมาคิดด้วยว่าแล้วมันต่างกับ "เผด็จการเสียงข้างน้อย" หรือไม่

อย่าลืมว่า โอกาสของคะแนน "เผด็จการข้างน้อย" เคยเอารัดเอาเปรียบพรรคอื่นถึงขนาดมีกองทัพที่อบอวลไปด้วยเผด็จการทั้งประเทศสนับสนุนทั้งบนดินใต้ดิน ก็ยังเลือกตั้งพ่ายแพ้พรรคเพื่อไทยมาอย่างหลุดลุ่ยแล้ว...มันก็บันทึกเป็นประวัติศาสตร์อย่างขายหน้า จน "เข้าตาประชาชน" มาชัดเจนมากพอแล้ว

โครงสร้างการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ที่ยึดเอาแกนนำเป็นศูนย์อำนาจและไปก้าวก่ายอำนาจสมาชิกพรรค จนแม้พรรคมีสาขาพรรคมากถึง 195 สาขา แต่ไร้บทบาทหรือไม่ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์กลางใหญ่ในเมืองหลวง...แล้วจะมีสาขาพรรคเอาไว้ทำพระแสงของ้าวอะไร

มันเป็นอย่างนี้มาหลายสิบปี จนเดี๋ยวนี้ผู้บริหารพรรคก็ยัง "ตัดหางปล่อยวัด" ไม่ยี่หระสนใจไยดีให้มีกิจกรรมส่งเสริมประชาธิปไตยเหมือนเดิม

นี่คือหัวใจหลักของทุกพรรคการเมือง ที่บริหารโครงสร้างแบบ "ตุ๊กตาสาขาพรรค" เหมือนพวก "นอกสายตา" และบริหารแบบ "ขอไปที" ขอให้เป็นไปตามกติกาโครงสร้างพรรคการเมืองเท่านั้น

อยากจะบอกว่า เสียแรงที่ประชาธิปัตย์มีอายุยาวมาถึง 65 ปี แต่แล้วก็ไม่พ้นวังวน "ยึดศูนย์กลางบริหารพรรค" มากกว่าการกระจายอำนาจไปให้สมาชิกทั่วประเทศรู้สึกว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นของประชาชน

ผิดหลักการ "พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค" อันเป็นระบอบที่ยินยอมให้สมาชิกเป็นใหญ่

ถ้าสมาชิกไม่มีสิทธิ์มีเสียงภายในพรรค เสียงร้องของสมาชิกไม่ต่างกับเสียง นกเสียงกา ก็ไม่อาจพูดได้ว่า ประชาชนเป็นใหญ่ได้...ประชาชนหรือสมาชิกมีอำนาจ มากก็เฉพาะช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นเลือกตั้งภายในพรรคหรือเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน

คนสำคัญในพรรค มันก็ใหญ่เฉพาะคนอยู่ส่วนบนของพรรคเท่านั้น ถ้าคิดผิด พูดผิดมันจะหนักหนาสาหัสทั้งพรรค ยิ่งประเมินตัวเองผิดก็ต้องใช้เวลาอีกนานจึงจะแก้ได้

เห็นมั้ยว่า ยิ่งวิเคราะห์พรรคใหญ่และเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ ก็ยิ่งต้องปฏิรูปไม่เพียงโครงสร้าง การบริหารจัดการและวัฒนธรรมองค์กรเท่านั้น

แต่มันต้องปฏิรูปหลักคิด และการพูดที่ถูกครรลองประชาธิปไตย (ไม่ใช่ถูกแบบศรีธนญชัย) รวมทั้งรู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวมอย่างถูกทางด้วย

ไม่ใช่คิดแต่อยากไขว่คว้าหาอำนาจโดยไม่เลือกว่า มันจะ "เข้าทางเผด็จการ" หรือไม่?


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ