ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองที่งวดเข้าสู่จุดทิ้งตัว! ยังได้ปรากฏ ความเป็นไปที่ดูชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ

โดยเฉพาะการแสดงท่าที "ไม่ยอมรับ" เสาหลักอำนาจตุลาการ หลังตกอยู่ในภาวะขัดแย้งรุนแรง ระหว่างอำนาจ "3 ขา" ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ที่กำลังเข้าโอบล้อม "ฝ่ายตุลาการ" ในปมประเด็นลุแก่อำนาจ จนอาจนำไปสู่จุดที่เรียกว่า "สุญญากาศทางกฎหมาย"

ตามจังหวะร้อนๆ ที่สมาชิกรัฐสภา ทั้ง ส.ส.-ส.ว. 312 คน ตบเท้าปฏิเสธ "อำนาจตุลาการ" และไม่ยอมรับคำสั่ง "ตุลาการรัฐธรรมนูญ" ที่ขีดเส้นตายให้ทั้งหมดเข้าชี้แจงภายในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ หลังจากที่ "สมชาย แสวงการ" และ "พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม" ฝ่ายเคลื่อนไหวในข้าง "ส.ว.สรรหา" ที่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ซัดข้อกล่าวหา "ขุนค้อน" สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา และสมาชิกรัฐสภาจำนวน 312 คน ที่เสนอและพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 68 ย้ำหัวตะปูในมิติ "ล้มล้างการปกครอง" หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งต่อมา "บวร ยสินทร" ได้ยื่นคำร้องในกรณีเดียวกัน โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องทั้งหมดไว้พิจารณา

ทางด้าน "ฝ่ายนิติบัญญัติ" ก็เลยทำจดหมายเปิดผนึกอย่างเป็นทางการ ในนาม "คณะสมาชิกรัฐสภา" เพื่อตอบโต้การใช้อำนาจเกินขอบเขตของศาล โดยชี้ว่า "เป็นการใช้อำนาจที่ขัดต่อบท บัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ" หวังตีแผ่ให้สังคมรับรู้ พร้อมส่งไปยังองค์กรอิสระทุกแห่ง ยกเว้นแค่ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งเท่านั้น

"ในนามสมาชิกรัฐสภาทั้ง 312 คน ซึ่งเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยตาม บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ขอเรียนว่า การรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณานั้น เป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างชัดแจ้ง...เป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจ"

"จึงพร้อมกันแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการดำเนินการครั้งนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่ง การปกครองระบอบประชาธิปไตยฯ และ ศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจอ้างผลแห่งคำวินิจฉัยที่เป็นเด็ดขาด หรือมีผูกพันองค์กร ต่างๆ มาใช้ในกรณีนี้ได้ เพราะคำวินิจฉัย ดังกล่าวนั้น ต้องเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วย กฎหมาย และอยู่ในขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น"

ขณะเดียวกัน "น.พ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ" รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ย้ำหัวตะปูถึงการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญว่า "ไม่ได้เกินหน้าที่" เพียงแต่ไม่น่าทำใน "สิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ"

"ต้องไม่ลืมว่าหน้าที่การแก้กฎ หมายนั้นเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ใช่หน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติเห็นว่ากฎหมายนี้ใช้ไปแล้วไม่เข้าท่าก็แก้ ความจริงที่ศาลไปตีความเข้าข้างตัวเองตอนมาตรา 291 ก็ไม่ควรแล้ว แต่เมื่อรับแล้วสั่งให้สภาแก้รายมาตราแล้วเขาก็ทำ และครั้งนี้ในการแก้รายมาตรายังรับเรื่องที่จะสร้างปัญหาให้กับนิติบัญญัติ ซึ่งการรับไว้ของศาลส่งผลให้ ส.ส. และ ส.ว. มองว่าศาลไม่ควรจะรับ เพราะเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ"

เหนืออื่นใดการที่หลายฝ่ายมองว่า "องค์กรศาลรัฐธรรมนูญ" มีปัญหานั้น คิดว่าไม่ใช่ที่องค์กร แต่เป็นคนในองค์กรต่างหากที่ควรจะมีความยุติธรรม ดังนั้นควรจะเพิ่มจำนวนคนที่มีความรู้หลากหลายเข้ามาเป็นองค์คณะในตุลาการศาล รัฐธรรมนูญด้วย ไม่ใช่มีแต่นักกฎหมายเท่า นั้น ควรจะมีตุลาการที่มาจากสาขาอื่นเข้าไปด้วยเพื่อให้มีความหลากหลายมากกว่านี้ อย่างศาลรัฐธรรมนูญทั่วโลกที่มีคน จากหลากหลายอาชีพเข้ามาเป็นตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ และการวินิจฉัยที่ออกมาต้องยอมรับว่าสร้างความคลางแคลง ใจให้กับประชาชน

ในห้วงเวลาไล่เลี่ยกัน "พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ก็สไกป์เข้ามาที่วอร์รูมพรรคเพื่อไทย เร้าสัญญาณทางไกล บี้เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบม้วนเดียวจบ โดยไม่สน "เกมล้มกระดาน" ของฝ่ายต่อต้าน

ตอกลิ่มในยุทธศาสตร์ "ยอมหัก... ไม่ยอมงอ" มุ่งไปที่การสั่นคลอนอำนาจตุลาการ แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้าผลีผลาม! เพราะดูตามรูปการณ์แล้ว ก็น่าจะค่อยๆ ปรับเกม..ไปสู่การกระชับอำนาจอธิป ไตยใหม่ โดยตัดเงื่อนไขตัวบุคคล ไปเป็นการลูบคม "องค์กรอิสระ" ที่ยึดโยงเข้ากับฝ่ายตุลาการ ผ่านกลไกการเคลื่อน ไหวของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่เขย่าเกมแรง "ดิสเครดิตศาล" เพื่อกร่อนความน่าเชื่อถือของ "9 ตุลาการ" ไปเรื่อยๆ

ขณะที่การเคลื่อนไหวด้านมวลชนในฝั่งคนเสื้อแดงนั้น ได้ถูกจุดขึ้นโดยคนกลุ่ม เล็กกลุ่มหนึ่งภายใต้รหัส "กวป." หรือกลุ่ม สื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่แห่เวียนกันมาบุกศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมประกาศกดดันขับไล่ "9 ตุลาการ" อย่างดุดัน!

แม้ความน่าสนใจของระดับนำ อย่าง "เล็ก บ้านดอน" หรือ "พงษ์พิสิษฐ์ คงเสนา" ในฐานะประธาน กวป. นั้นจะแทบไม่เป็นที่รู้จัก เมื่อเทียบชั้นกับแกนนำเสื้อแดง อย่าง "ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์" หรือ "เต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" รวมไปถึง "ธิดา ถาวรเศรษฐ" ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เคยเป็นตัวนำในการเคลื่อนไหวด้านมวลชนมาโดยตลอด แต่ในจังหวะที่ กวป.กำลังรุกไล่ "ตุลาการ" ครั้งนี้ ก็เหมือนกับว่าเสียงของ "แดง นปช." ดูจะผิดเพี้ยนไป

ในรหัสทางการเมืองที่ไม่มีใครยอมใคร! แม้หลายฝ่ายจะไม่ให้น้ำหนักไปกับขบวนของ "กวป." แต่ด้วย "ผลงาน" จากการเคลื่อนไหว "ล้มตุลาการ" ที่ยืดเยื้อยาวนานกว่าสองสัปดาห์เศษ รวมไปถึง การประกาศยกระดับการชุมนุมกดดัน "ศาลรัฐธรรมนูญ" ได้กลายเป็นปมประเด็นที่ยังน่าหวั่นใจว่าจะกลายเป็นชนวน "น้ำผึ้งหยดเดียว" ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

อีกทั้งในจังหวะรุกคืบของ "กวป." ยังไปสอดคล้องลงตัวในทิศทางเดียวกับส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำบางส่วนในรัฐบาล ที่คงมีท่าทีขัดขืนอำนาจศาล ทุกรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อม สืบเนื่องมาจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญ รับ คำร้องคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราจากเหล่า ส.ว.ลากตั้ง เนื่องจากมองว่า ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจเกินขอบเขตเป็นการละเมิดอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และที่สำคัญ "9 ตุลาการ" ยังถูกให้นิยามว่าเป็นผลผลิต ในเชิงอำนาจจากเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อปี 2549 ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ หาทางกลับบ้านไม่ถูกตราบเท่าทุกวันนี้!

ยิ่งไปกว่านั้น ในปฏิบัติการรุกไล่ "ศาลรัฐธรรมนูญ" โดยฝ่ายแดงอิสระที่กระชับพื้นที่ศาล มาตลอด 2 สัปดาห์เศษ ไม่เพียงแต่ กวป. จะประกาศรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลักเท่านั้น แต่ยังปรากฏว่า ในเวลาเดียวกันกวป. ยังเรียกร้องให้มีการยกเลิก มาตรา 309 โดยที่ กวป. ประกาศดีเดย์ระดมคนให้ถึงหลักแสนเพื่อ มาร่วมชุมนุมเสริมทัพ หวังจัดการภารกิจ ให้เบ็ดเสร็จ ภายใต้สโลแกน "มาเป็นแสน ขับไล่ ตลก.ยกเลิก ม.309"

สิ่งที่น่าติดตาม ภายใต้รหัส "ล้ม 9 ตุลาการ" โดยดำเนินการในลักษณะคู่ขนานไปกับพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลนั้น แม้จะมีเป้าหมายใหญ่เดียวกัน แต่คนในเพื่อไทยและแกนนำในรัฐบาล ไปจนถึงนายกฯ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ได้พยายามปฏิเสธความสัมพันธ์กับ "กวป." อย่างสิ้นเชิง เพื่อตอกย้ำว่า การเคลื่อนไหวกดดันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของ กวป. นั้น เป็นการแสดงออกทางประชาธิปไตย ที่สามารถทำได้ พร้อมชี้ให้เห็นว่า คนในปีกรัฐบาลเอง ตลอดจน "เสื้อแดง นปช." คงไม่สามารถไป "สั่งการ" เพื่อยับยั้ง หรือกระทำการอื่นใดมิได้ เพราะ กวป.ไม่อยู่ภายใต้อาณัติ เป็นเพียง "มวลชน" ที่เป็น "แดงอิสระ" เท่านั้น!!!

น่าสนใจอยู่ว่า ปรากฏการณ์ "อารยะขัดขืน" ของฝ่ายนิติบัญญัติ และคิวดับเครื่องชนของมวลชนปีกเสื้อแดงในทุกรูปแบบถึงขั้นแตกหักย่อมมีคำตอบอยู่ใต้รหัสสัญญาณของ "นายใหญ่" ที่ผ่าลงกลางวงประชุม "เพื่อไทย" ด้วยวิวาทะอันแข็งกร้าวที่ว่า "...ศาลรัฐธรรมนูญควรเลิกเล่นลิเกกับเรื่องบ้านเมืองได้แล้ว เพราะการที่รัฐบาล ส.ส. และ ส.ว. พยายามจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้น ก็ไม่ยอม เราไม่ว่ากัน แต่พอจะแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ดันมีพวกที่ขัดขวางความเป็นประชา-ธิปไตย คนเห็นแก่ตัวไม่กี่คนไปยื่นเรื่อง ที่ศาล...ศาลก็ดันรับไว้"

ไขรหัสรุกฆาต! "8-05" ว่าจะเป็นไปตามที่ "กวป." นัดเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในกระบวนการบี้ล้มศาลจะลุยม้วนเดียวจบ หรือจะมีแนวโน้มต่อการ "ยกระดับการชุมนุม" ให้ยืดเยื้อยาวนานต่อไปอีกหรือไม่...ยึดโยงไปถึงรหัสการเคลื่อนไหว "15-05" ในปีกของ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ที่เตรียมนัด 312 ชีวิตของฝ่ายนิติบัญญัติ มาชี้แจงข้อกล่าวหาเป็น "วันสุดท้าย" ซึ่งยังคงน่าหวั่นใจอยู่ว่า จะเกิดแรงกระเพื่อม ทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่...!!!

เมื่อต่างฝ่ายต่างรู้เท่าทันเกม การผ่าทางตัน "วิกฤติตุลาการ" หรือ "วิกฤติรัฐธรรมนูญ" อาจต้องแลกมาด้วยความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในทางการเมือง โดยเฉพาะถ้ารัฐบาล "เอาไม่อยู่.." ก็เป็นไปได้ถึงขั้นยุบสภา! ตามที่ "นายใหญ่" ได้วางพล็อตเรื่องเอาไว้ล่วงหน้า เป็นการ "ยกระดับการต่อสู้" ที่แรงไปทุกขณะ...ราวกับจะมุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่?!!