เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสิ่งที่หลายคนกลั่นแกล้งกันประเด็นหนึ่งคงไม่พ้นการเผชิญหน้ากันระหว่างมวลชนเครือข่ายภาคประชาชนที่สนามหลวงกับกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เคลื่อนทัพจากหน้าศาลรัฐธรรมนูญไปรัฐสภาซึ่งแทบไม่ห่างกันเท่าไหร่ แม้ในเจตนารมณ์ที่ประกาศจะดูเหมือนมากันคนละเรื่องแต่หลายตาหลายความคิดกลับ มองว่าเป็นการมาคุมเชิงกันเสียมากกว่า

โดยด้านนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษา แผ่นดิน ในฐานะโฆษกเครือข่ายภาคประชาชน (เดินทางไกลกอบกู้ราชอาณาจักรไทย) แถลงข่าวว่า เครือข่ายภาคประชาชนฯ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มธรรมาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่มกองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, กลุ่มสภาเกษตรกรไทยแห่งชาติ, กลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรไทย และแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน ทั้งนี้ เครือข่ายภาคประชาชนฯ ได้มาชุมนุมที่ท้องสนามหลวงตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค. และในวันนี้ 8 พ.ค.เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการไม่รับอำนาจศาลโลกกรณีเขาพระวิหาร แต่ก็มีอีกประเด็นที่สร้างความคลางแคลงใจให้คนในสังคม

คือเรื่องที่มีประชาชนบางกลุ่มไปข่มขู่ จะโค่นล้มศาลรัฐธรรมนูญ ทางกลุ่มขอแสดง ความไม่เห็นด้วย และต้องการปกป้องอำนาจ ตุลาการผ่านกลไกศาลรัฐธรรมนูญ และทาง กลุ่มจะไม่มีการเคลื่อนขบวนไปยังพื้นที่ที่มีการชุมนุมต่อต้านการทำหน้าที่ของตุลาการ ศาล

นายไชยวัฒน์ ได้ยืนยันกับหนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจว่า การเดินทางเข้ามาแสดงเจตนารมณ์ในครั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 70 บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ และรัฐธรรมนูญมาตรา 77 รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จำเป็น และเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ อันถือว่าเป็นหน้าที่ ของคนไทยทุกคนและยืนยันว่าการที่มีกลุ่มคนบางกลุ่มได้ทำการข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญถือว่ากระทบการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงเป็นหน้าที่ของเรา

ในส่วนของวิธีการเชื่อว่าจะไม่มีการคุกคามซึ่งกันและกันเพราะเราเชื่อมั่นในสิทธิ เสรีภาพของประชาชนทุกกลุ่ม แต่เรามีความเห็นเพิ่มเติมว่าการจะใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญต้องสอดคล้องกับหน้าที่ ที่จะทำต้องสอดคล้องกับเจตจำนงของรัฐธรรมนูญ การที่จะไปโค่นล้มอำนาจใดอำนาจหนึ่งมันไม่ได้เพราะตามหลักการปกครองนั้น 3 อำนาจดุลถ่วงประกอบด้วย อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ เพื่อ ให้การใช้อำนาจสมดุล

แต่ที่บ้านเมืองวิกฤติตอนนี้เพราะอำนาจของรัฐสภากับรัฐบาลกลับเอนเอียงไปเป็นอำนาจเดียวกัน ฉะนั้นความจริงแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญต้องถ่วงดุลให้หนักกว่านี้ด้วยซ้ำ..เพื่อให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะสมดุล โดยเร็ว..นั่นคือมุมมองของกลุ่มเรา

แต่ถ้าจะให้เกิดการปะทะของมวลชน ก็ถือว่าเข้าทางนักการเมืองที่ต้องการ คืออยากให้เกิดการจราจรเพื่อจะรัฐประหารตัวเอง เราคงไม่ไปเป็นเหยื่อของนักการเมือง แน่นอน เพราะเราหล่อหลอมความคิดมา 40-50 วัน ทำให้เรารู้ทันนักการเมือง ฉะนั้นเราเลือกที่จะอยู่ที่นี่เพื่อแสดงเจตจำนงในแนวคิดของเรา

ซึ่งสอดคล้องกับวิธีการของกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ที่ประกาศชัยชนะโดยอ้างถึงแนวทางการเคลื่อนไหวว่า การต่อสู้จะแบ่งออกเป็น 3 ยก โดยยกแรกที่ได้ชุมนุม 16 วัน และมีการไปยื่นเจตจำนงในการถอดถอน 5 ตุลาการฯไปแล้วถือว่า..ชนะคะแนน

พร้อมประกาศว่าในยกที่สองเครือข่าย 40 จังหวัดจะเดินสายทั่วประเทศเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับความผิดของตุลาการฯ รวมทั้งรวบรวมให้ได้ 1 ล้านรายชื่อเพื่อไว้ยื่นถอดถอน และแจ้งความดำเนินทางอาญากับตุลาการฯ ทุก สน.ทั่วประเทศโดยเริ่มที่กทม.เป็นจังหวัดแรก ไปแจ้งความในข้อหากบฏต่อนายจรัญ ภักดีธนากุล, นายจรูญ อินทจาร และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ที่สน. ทุ่งสองห้อง

สำหรับยกที่สามจะเป็นยกเผด็จศึกโดยเมื่อใดตุลาการฯ ลุแก่อำนาจ ใช้อำนาจเหนือรัฐธรรมนูญรังแก ส.ส.หรือรัฐบาลที่ประชาชนมอบสิทธิให้มาทำหน้าที่ เมื่อนั้นมวลชนเราจะเคลื่อนขบวนมาชุมนุมใหญ่กันที่ กทม. พร้อมกับขับไล่ให้ออกจากการทำหน้าที่

ซึ่งหากมองภาพโดยรวมๆ แล้วมวลชนทั้ง 2 ฝั่ง เลือกที่จะไม่ประจันหน้ากัน หรือลดความเสี่ยงเลี่ยงทางเดินไม่เผชิญหน้า..โดยลึกๆ เราเชื่อในประสบ-การณ์ความสูญเสียในอดีตจะสะท้อนออกมาในแนวคิดปัจจุบันว่า แต่ละกลุ่มจะมีสติในการเคลื่อนไหว แต่ด้วยอากาศ ที่ร้อนแรงตามธรรมชาติ หากมวลชนทั้งสองฝั่งเกิดการเผชิญหน้ากันขึ้นมาจริงๆก็อดที่จะหวั่นใจไม่ได้เลย..