มวลชนกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ซึ่งเป็นพลังมวลชนกลุ่มเก่าปนใหม่ มีแกนนำชุดใหม่ คล้ายตัวแทน "เจเนอเรชั่นใหม่" ของมวลชนคนเสื้อแดง ออกมาเคลื่อนไหวต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งคุณจรัญ ภักดีธนากุล หนึ่งในตุลาการรัฐธรรมนูญนิยามว่า "นักมวยต่อยกรรมการ"

ตรงข้ามกับมุมมองของคุณจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยที่สะท้อนสวนทางว่า "กรรมการต่างหากที่ลำเอียง รุมต่อยนักมวยอีกฝ่ายหนึ่ง" อันหมายถึงความกังขาว่า ที่ผ่านมาของกรรมการได้ยืนอยู่บน "ตาชั่ง" แห่งความยุติธรรมในบริบทไหน

ในเมื่อประชาชนทั้งประเทศซึ่งเป็น "กรรมการตัวจริง" ได้ประจักษ์มาตลอดว่า ตุลาการภิวัตน์บางคณะ มีอาการเข้าข้างนักมวยบางค่ายชัดเจนจนรู้สึกได้

การรวมพลังมวลชน กวป.ที่กดดันศาลรัฐธรรมนูญ มองซ้ายขวาก็ไม่เห็นแววว่ามวลชนเหล่านี้จะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะเขามีเพียง 2 มือ 2 เท้า เพื่อเรียกร้องหาความยุติธรรมต่อแวดวงตุลาการซึ่งพวกเขารู้สึกว่า มีสถานภาพและกระบวนการพิจารณาอยู่บนมาตรฐานคงที่ดีอยู่หรือไม่

ไม่ว่าจะเป็นข้อกังขาการตีความการแก้รัฐธรรมนูญ ที่เมื่อก่อนไม่ยอมให้แก้ทั้งฉบับ แต่กลับแนะนำให้แก้รายมาตรา... พอมาวันนี้มีคนพร้อมใจแก้รายมาตรา ก็อิดออดไม่ยอมให้เป็นไปตามที่ตัวเองเคยชี้แนะ

และไม่ว่าตุลาการบางท่านมีผู้คนเห็นชัดว่า ไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นตุลาการโดยสมบูรณ์จะหมายความว่า ท่านได้ล่วงเกินไปถึงการไม่เคารพและหมิ่นสถาบันเบื้องสูงเสียเองหรือไม่

แต่พอหันไปดูพลังมวลชนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งไปรวมพลที่สนามหลวง หรือสนามไชยอันเป็นที่ที่ กทม.ออกระเบียบห้ามชุมนุมทางการเมืองเด็ดขาด ซึ่งในอดีตเคยใช้เป็นเกมอ้างงานหลวงงานพระราชพิธีไว้สกัดมวลชนเสื้อแดงไม่ให้ไปรวมตัวกัน...อยู่ๆ ก็เหมือน "ปากว่าตาขยิบ" เป็นนัยส่อคล้ายๆ ว่าให้รวมพลได้

เพื่อจะพริ้วอ้างเต็มปากว่า ก็ไม่อนุญาตให้ชุมนุมในที่หวงห้ามแล้ว แต่ต้านมวลชนหมู่มากไม่ได้

ไม่รู้เกมนี้ ผู้ว่าฯ กทม.คุณชายสุขุมพันธุ์ จะพัวพันเกี่ยวโยงไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มเสื้อหลากสีหรือไม่ คงไม่เกินขีดสมองของเซียนการเมืองจะคาดเดาได้

ตัดไปฉากที่ 3 อยู่ๆ ก็มีข่าวจากสื่อบางสื่อไปจ่อปากถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ผบ.ทบ. ทำนองได้ข่าวว่า ผบ.ทบ.จะถูกโยกไปนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด...ดีที่ ผบ.ทบ.รู้แกว ว่าเป็นคำถามหวังผล จะให้ ผบ.ทบ.ใช้อารมณ์บูดพูด แล้วเผลอโพล่งออกมาในเชิงโกรธแค้น ก็จะกลายเป็น "วิวาทะจุดกระแสเดือดดาลกับเหล่าทัพ" เพื่อกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ "คลั่ง" ถึงขั้น "ลุแก่อำนาจ" ได้

เมื่อผสมโรงกับม็อบที่รอท่าอยู่แถวสนามหลวงหรือสนามไชยซึ่งถูกกติกาห้ามม็อบการเมืองเข้าไปใช้เป็นเวทีของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง...ถึงตอนนั้นยังจะมีใครแยแสกับข้อห้ามอีกล่ะ

มันจึงอยู่ที่เหลี่ยมกลทางการเมืองว่า ฝ่ายไหนจะได้เปรียบมากกว่าต่างหาก

แล้วก็กระตุ้นกระแสต่อยอดไปถึงขั้นยั่วยุให้เกิดการปฏิวัติ ดังที่ "บิ๊กบัง" เคยหลงกลยึดอำนาจ ทำลายระบอบประชาธิปไตยมาแล้วเมื่อปี 2549 จนถูกตราหน้าว่าเป็น "ปฏิวัติเสียของ" เสื่อมเสียเกียรติภูมิวงการทหารกันเองไม่พอ ทั่วโลกก็แซ่ซ้องสาปส่งมาจนถึงเดี๋ยวนี้

เป็นการปฏิวัติที่ไร้สาระ หูเบา ไม่ทันเกม จนระบบอำมาตย์และเผด็จการเข้ามาแทรกในทุกช่องว่าง ทำให้ระบอบประชาธิปไตยสะดุดและถอยหลังไปอีกหลายพันลี้

เรียบเรียงเป็นฉากๆ มาเพื่อให้เห็นว่า โมเดลและกลยุทธ์อย่างนี้ต่างหาก คือการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข... ซึ่งในปี 2549 มีทั้งนักการเมืองบางพรรค สื่อเอียงกะเท่เร่บางสื่อ ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.สรรหาบางคน ปัจจุบันยังมี "ตัวเป็นๆ" แอบสมคบคิดอยู่ด้วย

หาใช่การเคลื่อนไหวแบบกลุ่มมวลชน กวป. หรืออย่างที่ 312 ส.ส. และ ส.ว. ที่ไม่ยอมรับอำนาจตุลาการ เพราะมาตรฐานการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ และบางพฤติกรรมมีปัญหาเสียเอง... ซึ่งสิ่งนี้น่าจะเป็นกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตยมากกว่าด้วยซ้ำ

คำตอบของ ผบ.ทบ.ที่ไม่ให้น้ำหนักจากคำถามของ "สื่อเสี้ยม" ที่อาจกลายเป็น "วาทกรรมนำภัย" ยั่วยุให้ปฏิวัติยึดอำนาจอีกครั้ง จึงถือว่าท่านเป็นผู้นำทหารที่มีวุฒิภาวะสูงและมีสติสัมปชัญญะรอบคอบ

เห็นเกมแต่ละก้าวอย่างนี้ คอการเมืองคงอ่านออกได้ไม่ยากว่า แวดวงการเมืองไทย ยังมีนักการเมืองหลายคนที่เชี่ยวกรากการเมืองมานานๆ พยายามใช้เล่ห์เพทุบายหลอกทหารทั้งกองทัพให้เป็นเครื่องมือทุ่นแรงเพื่อสร้างโอกาสให้เขากลับมายืนกุมอำนาจรัฐในอนาคตอย่างง่ายๆ ได้อีก

หลังจากแสดงบทบริหารบ้านเมืองด้วยปากล้มเหลวไม่เป็นท่ามาแล้ว เมื่อวันวาน!