ย้อนรอยคอร์รัปชั่นขับดัน 2 ล้านล้าน เพื่อประชาชน...

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ย้อนรอยคอร์รัปชั่นขับดัน 2 ล้านล้าน เพื่อประชาชน...


เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท สำหรับใช้ในการพัฒนาระบบ ลอจิสติกส์อย่างบูรณาการถือเป็นโครงการใหญ่ที่ถูกจับตาเพราะอยู่ในวงเงินที่สูง อีกทั้งยังเป็นกระบวนการ กู้นอกงบประมาณที่เรายังไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่ แน่นอน ว่าต้องเกิดข้อสงสัยต่างๆ จากสังคมถึงความโปร่งใส.. และในเรื่องนี้ทาง "ทีดีอาร์ไอ" ได้ทำการศึกษาติดตามอย่างใกล้ชิดตลอดมา

ล่าสุด ทางสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมกับสำนักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดเสวนา สาธารณะเรื่อง "เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ลงทุนอย่างไรให้โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ : นโยบายของรัฐและบทบาทของประชาสังคม" โดยมี รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวปาฐกถาพิเศษถึงโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ 2 ล้านล้านบาท เป็นการวางกรอบยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่งของประเทศ ไม่ได้ทำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อย่างใด โดยเป็นโครงการที่ผ่านการคิด และผลักดันจากหลายรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่ง ต้องการให้เกิดการพัฒนาระบบโครงสร้าง พื้นฐานทั้งนั้น จึงไม่สามารถให้เครดิตเฉพาะรัฐบาลนี้ได้

"ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม ศึกษาแล้วพบว่า หากมีการลงทุน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าว จะสามารถลดต้นทุนลอจิสติกส์ได้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตร้อยละ 1-2 ต่อปี ซึ่งขณะนี้รับว่าความพร้อมของทุกโครงการที่บรรจุอยู่ในแผนยังไม่ได้สำเร็จ 100% เนื่องจากมีกรอบ ระยะเวลาดำเนินการ 7 ปี บางโครงการจึงยังอยู่ระหว่างการศึกษา"

สำหรับในส่วนที่กังวลคือปัญหาแรงงานว่าจะมีพอหรือไม่ แต่ก็เป็นข้อดีที่วางยุทธศาสตร์โครงการไว้ 7 ปี ซึ่งทำให้มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาได้ตั้งเป้าหมายการพัฒนาบุคลากรให้สอดคล้อง กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยล่าสุดมหาวิทยาลัยเริ่มมีการ ตั้งสาขาวิศวกรรมระบบรางแล้ว

ในส่วนที่หลายฝ่ายเป็นห่วงกันว่าหากเศรษฐกิจโลกมีปัญหาจะกระทบต่อโครงการและสถานะการคลังประเทศนั้น ต้องทำความเข้าใจโครงการนี้ไม่ได้กู้ครั้งเดียว 2 ล้านล้านบาท แต่จะทยอยกู้โดยคำนึงถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกด้วย และหากมีปัญหาจริงก็เชื่อว่าโครงการคงไม่ได้รับการอนุมัติให้กู้เงินได้ในขณะนั้น

"2 ล้านล้านบาท เป็นแค่กรอบ ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้ให้หมด และเมื่อดำเนินการจริงหากมีข้อติดขัดก็อาจปรับลดในบางส่วนบางโครงการได้ แต่ยืนยันว่า ทุกโครงการจะเป็นไปตามขั้นตอน ผ่านการ ศึกษาความเป็นไปได้ ความคุ้มทุนและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตามหลักปกติ"

ในเรื่องที่หลายฝ่ายต่างจับตาดูเป็นพิเศษคงไม่พ้นเรื่องของความโปร่งใสและการทุจริตคอร์รัปชั่น รศ.ดร.ชัชชาติ ก็ยอมรับว่าส่วนตัวแล้วก็กังวลเช่นกัน เนื่องจากเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง แต่หากกลัวจนไม่เดินหน้าโครงการใดๆ ประเทศไทยจะสูญเสียโอกาสหลายด้าน ฉะนั้น วิธีการคือจะให้ประชาชนภาคประชาสังคมและทุกฝ่ายมีส่วนร่วมเข้าตรวจสอบโครงการให้มีคุณภาพและโปร่งใสที่สุด รวมถึงพยายามคุมราคากลาง ให้เข้มข้นขึ้น

นอกจากนี้ ในเวทีเสวนายังมีคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิได้มาร่วมแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องของความโปร่งใสในมุมนโยบายของรัฐและบทบาทของประชาสังคม โดยมี รศ.ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการ หอการค้าไทย ในฐานะเลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) และ ดร.สุเมธ องกิตติกุล นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ

รศ.ดร.สิริลักษณา กล่าวในบทบาท ป.ป.ช.ว่า กังวลเรื่องขั้นตอนการดำเนินโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turn-key) ซึ่งปัจจุบันโครงการของรัฐใช้กันเป็น จำนวนมาก โดยอ้างเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนและข้อจำกัดด้านงบประมาณ ทั้งที่ในอดีตก็มีปัญหาจากการใช้รูปแบบการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จเกิดขึ้นแล้วว่า หลายโครงการไม่เป็นไปตามที่ออกแบบไว้ เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ และโครง การก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน

นอกจากนี้ ยังมีการยกตัวอย่างในกรณีโครงการบริหารจัดการน้ำ โดย อ.สิริลักษณา ตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินโครง การแบบที่ทำสัญญาไปก่อน แล้วค่อยศึกษา ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และทำประชาพิจารณ์ในภายหลังนั้นขัดรัฐธรรมนูญว่าด้วยโครงการขนาดใหญ่หรือไม่ และการที่ ผู้รับผิดชอบร่างโครงการและเจ้าของโครงการผู้ประเมินผลเป็นกลุ่มเดียวกัน อาจมีประโยชน์ทับซ้อนกันหรือไม่ โดยกลุ่ม บริษัทที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครง การประเภทนี้ คือ กลุ่มบริษัทผู้รวบรวมและ ขายที่ดินให้โครงการ กลุ่มบริษัทผู้รับเหมา (Turnkey) และกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา

"จากกรณีโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ป.ป.ช.พบว่า มีหลายขั้นตอนที่ไม่ถูกต้อง ตั้งแต่การออกโฉนด การจัดหาที่ดินไม่ถูกต้อง สัญญาที่เป็นโมฆะ และการตรวจจ้างที่ไม่ชอบ โดย เฉพาะกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาที่ดินและกลุ่มบริษัทรับเหมาเป็นกลุ่ม บริษัทที่มีผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นในตระกูลที่มีนามสกุลซ้ำเดิมแต่ละโครงการไขว้กันไปมา จึงมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่โครงการบริหารจัดการน้ำและโครงการลงทุนโครง สร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทจะซ้ำรอย"

ขณะที่ ดร.สุเมธ กล่าวว่า ทีดีอาร์ไอ เห็นด้วยกับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ด้วยเพราะประเทศไทยไม่มีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบรางมาเป็นเวลานาน แต่ต้องมีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการอย่างเป็นระบบ เปรียบเทียบความต้องการการเดินทางและขนส่ง และเปิดเผยผลการศึกษาความเป็นไปได้ให้ประชาชนรับทราบ

สำหรับแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นในโครงการใหญ่ ดร.สุเมธ แนะแนวทางว่า ในขั้นตอนการวางแผนและออกแบบ ต้อง เพิ่มหน่วยงานตรวจสอบโครงการ ส่งเสริม ความซื่อตรงในงานวิศวกรรมที่ปรึกษา ส่วนขั้นการประมูล ระหว่างการก่อสร้าง ระหว่างดำเนินโครงการและบำรุงรักษา ให้มีการจัดทำข้อตกลงคุณธรรม (Inte-grity Pact) ที่ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมมีส่วนร่วม

ด้านนายวิชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ได้ทำข้อตกลงคุณธรรม (Integrity- pact) 3 ฝ่าย ระหว่างภาคราชการ เอกชน และบริษัทผู้ดำเนินโครงการ ที่ลงนามร่วมกันป้องกันการทุจริตในการดำเนินโครงการของกระทรวงคมนาคม โดยเฉพาะในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งล้อกับมาตรา 103/7 และ 103/8 ตามกฎหมาย ป.ป.ช.ที่ระบุว่า หน่วยงานของรัฐต้องดำเนินการจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะราคากลางและการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้

"ขณะนี้ทางองค์กรฯ พร้อมที่จะเซ็น สัญญาข้อตกลงดังกล่าว และได้คัดเลือกอาสาสมัครผู้ที่จะเข้าไปร่วมตรวจสอบในโครงการดังกล่าวเรียบร้อยแล้วประมาณ 30 คน จากตั้งเป้าไว้ 100 คน ที่มาจากสมาคมวิชาชีพ วิศวกรที่ปรึกษา สถาปนิก บัญชี นักกฎหมาย อดีตข้าราชการ สำนักงาน ตรวจเงินแผ่นดินและภาคเอกชน เพียงแต่ รอทางฝั่งรัฐบาลกำหนดวันเท่านั้น

โดยที่เครือข่ายจะเข้าไปร่วมคลุกวงใน ในทุกโครงการตั้งแต่เริ่ม เขียนทีโออาร์ วาง คุณสมบัติต่างๆ วิธีการประมูล ออกราคา กลาง การประมูล ดำเนินงาน การตรวจรับงานและจ่ายเงินว่ามีขั้นตอนใดผิดปกติ หรือไม่ หากพบว่ามีจะให้ข้อมูลทั้งกับรัฐบาลและ ป.ป.ช.ร่วมตรวจสอบ และพร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนร่วมกันติดตามตรวจสอบข้อมูลด้วย"

สำหรับกรณีการเทียบเคียงการทำโครงการในอดีตถือว่ามีอยู่มากมายหลายโครงการที่ประเทศไทยต้องเสียค่าโง่ให้กับภาคเอกชนเนื่องจากการทำสัญญาที่ไม่รัดกุมทั้งที่เจตนา และไม่เจตนา

นายอิสร์กุล อุณหเกตุ นักวิจัยทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า การคอร์รัปชั่นในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่จะส่งผลให้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เกิดความไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และอาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สาธารณะ ในระดับสูงได้ นอกจากนี้ ปัญหาคอร์รัปชั่น ยังเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายภาครัฐในการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานและเบียดเบียน งบประมาณในการใช้จ่ายของรัฐในประเด็นอื่น

ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้นำเสนอกรณีศึกษาปัญหาคอร์รัปชั่นในอดีต เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะโครงการลงทุนที่โปร่งใส อาทิ กรณีศึกษา คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี กรณีศึกษาโรงไฟฟ้าบางคล้า กรณีศึกษาศูนย์กลางระบบขนส่งมวลชนบริเวณสถานีขนส่งหมอชิตเดิม และกรณีอื่นๆ ที่ยังมีปัญหา โดยคณะผู้วิจัยนำเสนอข้อเสนอ เพื่อป้องกันปัญหาคอร์รัปชั่นว่า ควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) อย่างมีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ควรมีการสร้างธรรมาภิบาลในโครงการลงทุน และควรมีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มความรัดกุมในการลงทุนมากขึ้น

คณะผู้วิจัยได้นำเสนอกรณีศึกษาปัญหาคอร์รัปชั่นในอดีตเพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะโครงการลงทุนที่โปร่งใส อาทิเช่น กรณีศึกษา King Power Duty Free กรณีศึกษาโรงไฟฟ้าบางคล้า กรณีศึกษาศูนย์กลางระบบขนส่งมวลชนทางบกบริเวณสถานีขนส่งหมอชิตเดิม กรณีศึกษา โรงบำบัดน้ำเสียคลองด่าน กรณีศึกษาสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 กรณีศึกษาโฮปเวลล์ และกรณีศึกษาเรือขุดหัวสว่าน

นายอิสร์กุล กล่าวต่อว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาเรื้อรังในระบบเศรษฐกิจ และสังคมไทยมาเป็นเวลานาน รูปแบบการ คอร์รัปชั่นมีความซับซ้อนมากขึ้นเป็นลำดับ ยุทธศาสตร์ในการต่อต้านคอร์รัปชั่นจึงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนจากแบบเดิม ที่เน้นการใช้กฎหมายซึ่งเป็นระบบ "จากบนลงล่าง" (top down approach) เป็นระบบ "จากล่างขึ้นบน" (bottom up approach) ซึ่งหมายความว่า การต่อต้านคอร์รัปชั่นจะต้องมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจากภาคธุรกิจ สื่อมวลชน นักวิชาการและ ภาคประชาสังคม

สาเหตุที่ประชาชนควรให้ความสำคัญต่อการติดตามและตรวจสอบเรื่องคอร์รัปชั่นในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เนื่องจากคอร์รัปชั่น ทำให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ในบางกรณีอาจทำให้โครงการไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง และทำให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ อีกทั้งอาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สาธารณะในระดับสูง และเพิ่มค่าใช้จ่ายภาครัฐในการบำรุงรักษาโครง สร้างพื้นฐาน เบียดบังงบประมาณในการใช้จ่ายภาครัฐในประเด็นอื่นๆ เช่น การศึกษา การสาธารณสุข รวมทั้งเพิ่มต้นทุน ให้แก่ประชาชน เนื่องจากสาธารณูปโภคที่มีคุณภาพต่ำ


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ