จุดยืน "แบงก์ชาติ"?

วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

จุดยืน


หลังปฏิวัติรัฐประหารเมื่อปี 2549 เป็นต้นมา เรามองแต่ปัญหาการเมือง จนลืมไปว่าผลพวงการยึดอำนาจนั้นสะเทือนเงียบๆ ไปถึงความมั่นคงทางการเงินของประเทศด้วย

เพราะความไม่รู้และไม่เข้าใจในระบบการเงินที่สลับซับซ้อนของประเทศ อย่าว่าแต่ตัวเลขคณิตศาสตร์ชั้นสูงเลย แค่ชั้นมัธยมก็เป็น "ยาขม" ที่บูดบึ้งของชาวบ้านยามเรียนหนังสือมาอย่างเต็มกลืนแล้ว

ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ก็เป็นหนึ่งในหลายองค์กรที่เป็น "เครื่องมือของเซียนการเงิน" ที่ถูกแทรกแซงลึกๆ หลังปฏิวัติอยู่ด้วยหรือไม่

เพียงเพราะกลัวแบงก์ชาติจะไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือกลัวการเมืองแทรกแซงเพียงเพราะมองภาพความเลวร้ายทางการเมืองมากจนเกินไป

ก็เลยพ่วงท้ายขบวนปฏิวัติ แยกแบงก์ชาติให้เป็นอิสระมากที่สุด โดยเน้นนโยบายแค่ดูแลปัญหาเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว...ถ้าเอกชนจะล่มสลายเพราะปัญหาส่งออก หรือนำเข้า หรือกำไรขาดทุนจากส่วนต่างการแลกเปลี่ยนค่าเงิน ก็ เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนแต่ละองค์กร

ช่างหัวมัน ไม่ใช่เรื่องของแบงก์ชาติ อย่างนั้นหรือ?

นี่คือ "วาระลอยนวล" เมื่อครั้งคณะรัฐประหารกุมอำนาจ และมีกลุ่มที่เชี่ยวชาญทางการเงินแอบเข้าไปสอดแทรก แม้กระทั่ง "ประชุมลูกหลาน คมช." ที่เรียกอย่างขลังว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยอ้างเป็นมติสภาให้ผ่านกฎหมายเกี่ยวการเงินและแบงก์ชาติ

ทั้งๆ ที่ขาดองค์ประชุม ก็ปั้นออกมาเป็นกฎหมาย!

ผลพวงปฏิวัติวันนั้นจึงกระทบมาถึงวันนี้ วันที่กระทรวงการคลังกับแบงก์ชาติ ไม่อาจนั่งโต๊ะร่วมสุมหัวกันคิดแก้ปัญหาการเงินของชาติทั้งระบบได้

วันนี้ที่ "เงินบาท" แข็งค่าที่สุดในภูมิภาค ผู้นำเข้าบางคนที่รู้จักฉวยโอกาสก็รีบสั่งสินค้าเข้า ในขณะที่อีกหลายคนลังเลเพราะไม่แน่ใจสถานการณ์ เพราะไม่รู้ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจแก้อย่างไร

รัฐบาลก็ "ใบ้กิน" เพราะความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ อุตส่าห์ชี้แนะก็แล้ว ขู่ว่าจะปลดเช้าปลดเย็นก็แล้ว สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้ากดดันก็แล้ว... แบงก์ชาติ "ดื้อเงียบ" ยืนกระต่ายขาเดียว ไม่คิดทำหรือแก้อะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้เงินบาทแข็ง แล้วก็ควบคุมตามกลไกไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นภาคเอกชนก็เจอภาวะสินค้าส่งออกไปขายต่างประเทศไม่ได้โดยภาครัฐไม่อาจช่วยผ่อนคลาย

คุณพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ทนไม่ไหวถึงกับออกมาแจงตัวเลขว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับส่วนต่างดอกเบี้ยได้ขาดทุนไปแล้วกว่า 5 แสนล้านบาท และอาจไม่หยุดขาดทุนต่อไปซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อการส่งออก ภาคลงทุน ภาวะเงินเฟ้อในตลาดหุ้นและตลาดทุนของไทย

นี่คือบทสรุปของการไม่คิดแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง เห็นตัวเลขมันไม่ได้ต่างจาก "วิกฤติต้มยำกุ้ง" ตรงไหน

จะเรียกความเสียหายเงียบๆ ครั้งนี้ว่าเป็น "วิกฤติส้มตำปู" ตามสไตล์นายกฯหญิงก็ได้

ซึ่งคงไม่มีใครไปมองหรอกว่า เป็น "วิกฤติช่างหัวมัน" ของแบงก์ชาติ!

ผมมองบริบทนี้ ไม่ได้ชี้ว่า เป็นความผิดความถูกของใครโดยตรง เพราะทั้งรัฐบาลและแบงก์ชาติคงมีข้อมูลที่สนับสนุนฝ่ายตนเองอย่างมีน้ำหนักทั้งคู่...แต่กำลังมองความเป็นอิสระของบางองค์กรเป็นสิ่งดีบางเรื่อง แต่มันก็ไม่ดีเสมอไปในบางมุม โดยเฉพาะด้านการเงินทั้งระบบ ที่กำลังโดนพายุใหญ่กระแทกมารอบโลก แล้วเราไม่คิด "สุมหัว" กันแก้ไปในทางเดียวกัน

เราเห็นรัฐบาลญี่ปุ่นชุดใหม่ ตัดสินใจรวดเร็วโดยลดค่าเงินเยน ลดดอกเบี้ย นโยบายในเวลาสั้นๆ ทันเหตุการณ์ แล้วผลของมันออกมาเป็นที่พอใจของประชาชนทุกฝ่าย จนทำให้เศรษฐกิจฟื้นเร็วในห้วงผันผวนทั่วโลก ล่าสุดนี้ญี่ปุ่นลดเงื่อนไขให้ ต่างชาติเข้าประเทศง่ายๆ หวังดึงนักท่องเที่ยวเข้าให้มากที่สุด จะได้ดูดเงินจากกระเป๋านักเที่ยวได้เต็มกอบเต็มกำ

ไม่เห็นเขามะงุมมะงาหรา อืดอาดยืดยาด หรือเกร็งแล้วเกร็งอีกว่า ลดดอกเบี้ยแล้วจะตายมั้ย หรือหาวิธีอื่นมาช่วยกันเพื่อไม่ทำให้ภาคธุรกิจหลักๆกระอักโลหิตอยู่ฝ่ายเดียว

โครงสร้างทางการเงินของญี่ปุ่นมันต่างกับไทยมากนักหรือ ทำไมเขาทำได้ แต่เราคิดไม่ออก ทำไมช่วง นายมหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกฯ มาเลเซียตรึงค่าเงินริงกิต ไม่ยอมลดไม่สนใจว่าทั่วโลกจะผันผวนยังไง แล้วมาเลย์ก็ผ่านวิกฤติไปได้ แต่บ้านเรากลับพินาศย่อยยับ

เหล่านี้มัน "วัดกึ๋น" ของคนเรียนคณิตศาสตร์และเศรษฐศาสตร์การเงินการคลังชั้นสูงทั้งนั้น

เหล่านี้มันชี้ให้เห็นถึงภาวะวิสัย หลักบริหารและการตัดสินใจของผู้บริหารองค์กรที่สำคัญของชาติทั้งนั้น

ทำให้เห็นได้ว่า ใครใช้สุภาษิต "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม" ใครใช้บท "น้ำขึ้นให้รีบตัก"

เราก็เลยเห็นว่า แบงก์ชาติมีจุดยืนอนุรักษนิยม หรือกลยุทธ์ไล่ทันสถานการณ์กันแน่ แต่ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมเวรของแต่ละคน!


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ