ฟืนเปียก..ไม่ติดไฟ! "วาระปฏิรูป ปชป."

วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ฟืนเปียก..ไม่ติดไฟ!


เหมือนฟืนเปียกๆ จุดไม่ติดไฟ!!! สำหรับโรดแมปว่าด้วยการ "ปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์" ที่มาพร้อมกับความอัดอั้นตันใจของ "จ้อน-อลงกรณ์ พลบุตร" หลังจำทน "กินน้ำใต้ศอก" พรรค การเมืองในระบอบทักษิณมานานกว่าทศวรรษ แต่ที่น่าเจ็บปวด ยิ่งไปกว่านั้น คือการที่ "พรรคเก่าแก่" ยังคงจมปลักอยู่บน ความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งเป็นเวลาถึง 21 ปีเข้าไปแล้ว หรือนับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2535 เป็นต้นมา

"พรรคประชาธิปัตย์ต้องปฏิรูปแบบองค์รวม ต้องยกเครื่องใหญ่ ต้องกลับมาเป็นทางเลือกที่ดี ไม่ใช่เป็นทางเลือกสุดท้าย.."

เป็นสิ่งที่ "อลงกรณ์" พยายามชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปของ "ประชาธิปัตย์" ที่ควรถึงเวลาต้อง "ปรับโฉมใหม่" โดยใช้แนวทาง "เลือกตั้ง" เพื่อต่อสู้เอาชนะทาง การเมือง เพื่อให้ได้มาซึ่ง "อำนาจบริหารประเทศ" อย่างถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตย

จึงนับเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่ "คนประชาธิปัตย์" ยังคิดแก้ไม่ตก แม้จะเปลี่ยนทีมบริหารพรรคมาหลายชุด ทั้ง "ทศวรรษใหม่" ของผู้อาวุโสอย่าง "บัญญัติ บรรทัดฐาน" ล่วงเลยมาถึง "ผลัดใบ" ใต้ปีกการนำของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน

กระนั้นก็ไม่อาจก้าวพ้นความพ่ายแพ้ ไปได้!!!

และไม่ใช่ครั้งแรกที่ "คนประชาธิปัตย์" ยกโขยงออกมาขานรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งระบบ เพราะแนวทาง "ปฏิรูป" ถือเป็นสิ่งที่มักจะตื่นตัวกันปีละหน เพราะในวงประชุมใหญ่ประจำปี จะมีการถกเถียงในวาระ "ประชุมลับ" โดยห้ามไม่ให้รู้ไปถึงหู "คนนอก" อย่างเด็ดขาด

หากแต่ในครั้งนี้ เป็นความจงใจ.. เล่น ผิดคิว! ด้วยตัวของ "อลงกรณ์" เพราะได้เปิดเผยข้อมูลผ่านพื้นที่สาธารณะท่ามกลาง สถานการณ์ทางการเมืองที่ดำเนินไปอย่างเข้มข้นระหว่าง "รัฐบาล" และ "ฝ่ายค้าน"

ด้วยพิมพ์เขียวความยาว 36 หน้า ที่วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย จุดแข็ง และจุดอ่อน ของพรรคเก่าแก่ พร้อมกลั่นกรองเป็นแนว-ทางปฏิรูปพรรค ภายใต้คอนเซปต์ไฉไล "จุดเปลี่ยนประชาธิปัตย์ จุดเปลี่ยนประเทศไทย" โดยมุ่งเน้นไปยัง 3 ประเด็นใหญ่ ทั้งเรื่องการจัดองค์กรและโครงสร้างพรรค การ บริหารจัดการภายใน และการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมและบุคลากรของพรรคที่ยังคงเป็นแบบ "ปิด" ซึ่งการปฏิรูปจึงต้องทำแบบ "องค์รวม ไม่ใช่หยิบเอาจุดใดจุดหนึ่งมาปรับปรุง

แต่ที่ยากยิ่งน่าจะเป็นเรื่องการทบทวนตัวเองในทุกๆ เรื่อง..ว่าไปตั้งแต่ "จุดยืน" และปรัชญาที่ถูกสังคมมองว่าผิดเพี้ยนไปจากเดิม

แม้แนวคิดของ "อลงกรณ์" ที่มุ่งหวังให้เกิดการปฏิรูปนั้น จะเป็นสิ่งที่ดีในแง่ของ การต่อสู้ทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมากับพรรคคู่แข่ง แต่หากพินิจอย่างรอบด้านแล้ว..แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย!!

เนื่องด้วยวัฒนธรรมที่ยาวนานกว่า 67 ปีนับจากการก่อตั้ง "พรรคประชาธิปัตย์" เมื่อวันจักรี 6 เมษายน 2489 มาถึงวันนี้ก็ยังมีแนวทางอนุรักษนิยมดุจเดิม ซึ่งเป็นปรัชญาทางการเมืองที่ยึดถือไปกับ "สิ่งที่เป็นอดีต" มาเป็นแนวทางในปัจจุบัน โดยนิยมการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป

"การรักษาอุดมการณ์พรรคจะทำ ให้ชนะเลือกตั้งและได้ทำงานให้ประเทศ" นี่จึงเป็น "วิธีคิด" ในแบบฉบับของ "อภิสิทธิ์" ที่รับสืบทอดแนวคิดแบบ "คอนเซอร์เวทีฟ" มาดุจเดียวกัน

หากพินิจในแนวทางการปฏิรูปพรรคที่ว่านี้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า..มีความตั้งใจดี แต่ขาดความเข้าใจที่ถูกต้องและขาดแรงสนับสนุนภายในพรรค

ด้านกระแสต่อต้านจากข้างในก็ยังคุกรุ่น เพราะการที่ "เด็กเมื่อหัวฝน" ออกมาสะกิดเตือนผู้เฒ่าแก่พรรษาให้ "ทบทวนตัวเอง" ก็รังแต่สร้างความขุ่นข้องหมองใจ จนกลายเป็น "วิวาทะ" ระหว่างคน 2 รุ่นที่มีความคิดอ่านที่ "แปลกแยก"

ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ภายในเหมือนจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ เมื่อมีผู้อาวุโสบางคนในพรรคออกมากระตุก "อลงกรณ์" อย่างรุนแรงว่า...ข้อเสนอปฏิรูปพรรคขัดอุดมการณ์พรรค-เน้นประชานิยม-เลียนแบบ พรรคเพื่อไทย

กระทั่ง "หัวดำ" ได้ลุกมาถอนหงอก "หัวขาว" ผ่านทวีตเตอร์ @AlongkornPB อย่างเผ็ดร้อนไม่แพ้กัน..

เป็นการบิดเบือนและดิสเครดิต ผมรักษาวินัยโดยไม่ให้สัมภาษณ์สื่อใดๆ หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค แต่กลับมีบางคนให้ข่าวใส่ร้ายบิดเบือนการปฏิรูป การอ้างคำพูดท่านชวน ที่ผมให้ความเคารพแบบจงใจพูดโกหก "ขาวเป็นดำ" เช่นนี้ ไม่ใช่ลูกผู้ชาย จะทำร้ายผมได้แต่อย่าทำร้าย "การปฏิรูป"

ถึงจะมีเสียงตักเตือนแรงๆ จากผู้หลัก ผู้ใหญ่ในพรรค ทว่าเขายังคงยืนกรานที่จะเสนอเป็นประเด็น "สาธารณะ" เพราะเชื่อว่าหากมีการปฏิรูป ย่อมจะเป็นประโยชน์ในทางสังคม อันเท่ากับเป็นการพัฒนาสถาบันพรรคการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ

เหนืออื่นใด การดันประเด็นร้อนนี้เข้า สู่เวทีสาธารณะก็เพื่อเป็นแรงบีบและกดดัน ในอีกด้านให้ "ประชาธิปัตย์" จำเป็นต้องให้ความสนใจ เพราะหากเพิกเฉยก็เท่ากับสะท้อนว่า...ปิดกั้นตนเอง!!

เป็นสิ่งเดียวกับที่ "พิชัย รัตตกุล" คนเก่าคนแก่ที่เป็นถึงอดีตหัวหน้าพรรค เคยกล่าวไว้ว่า "สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องเปลี่ยนแปลงพรรคประชาธิปัตย์คือ ไม่ให้มีอุดมการณ์ที่อิงอำนาจเผด็จการ"

"อยากเห็นการวิพากษ์วิจารณ์จากคน ภายในพรรคให้มาก เพราะจะทำให้พรรคมีการปฏิรูปตัวเองให้ดียิ่งขึ้นที่ผ่านมาประชาธิปัตย์ไม่มีนโยบาย ไม่มีเป้าหมาย และขาดการวางแผนระยะยาว ยิ่งตอนนี้พรรคอ่อนแอ ทั้งรูปแบบการบริหารและการต่อสู้ ทางการเมือง เน้นเพียงการตอบโต้ทาง การเมืองแต่อย่างเดียว ไม่เน้นการทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง จึงรู้สึกเป็นห่วงอนาคตของพรรค"

ยังไม่ทันจะปฏิรูปพรรค ก็มีการปล่อยข่าวทั้งบวกและลบ โดยเฉพาะ แนวต้าน" ที่ออกมาประเมินว่า การ ขับเคลื่อนแนวทางปฏิรูปแม้จะเดินมาถูกทาง แต่ยังผิดที่ผิดเวลา!!

ท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐบาลพยายาม เดินไปให้สุดซอย ทั้งการผ่านร่างกฎหมายสำคัญหลายฉบับ ทั้งวาระกู้เงินลงทุน 2 ล้าน ล้านบาท รวมไปถึง "วาระการเมือง" อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นิรโทษกรรม และปรองดอง ทว่าขั้วฝ่ายค้านกลับแตกคอกันเอง แทนที่จะร่วมพลังตรวจสอบรัฐบาล อย่างแข็งขัน ...หรือนี่คือ "สนิม" ที่เกิดแก่เนื้อในตน

จากวาระปฏิรูปพรรคที่ขยาย "รอยปริแยก" ภายในประชาธิปัตย์ให้ร้าวไปทุกขณะ

แล้วยิ่งการที่เลขาธิการพรรคอย่าง "เฉลิมชัย ศรีอ่อน" ออกมาตีปีกหนุน "วาระปฏิรูป" ย่อมต้องมีนัยสำคัญ

เพราะก่อนหน้านี้ หลายคนยังเชียร์ให้ "จ้อน-เฉลิมชัย" ผนึกเป็นเนื้อเดียวกับ "ธีระ สลักเพชร" ตั้งพรรค "เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์-ตราด" โจทย์ที่ว่าคือ "ประชาธิปัตย์" จะเอายังไงกับ "จ้อน"

หรือว่าฟางเส้นสุดท้าย!! ถ้าไม่ปฏิรูป.. ก็คงอยู่ร่วมกันไม่ได้


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ