ดร.โอลิเวอร์ ก็อตชัลล์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดเผยว่า จากข้อมูลคาดการณ์ว่าในปี 2566 ภาพรวมตลาดอาหารจะมีมูลค่า 787,371 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตราว 6% และคาดว่า อีกภายใน 3 ปี ข้างหน้ามูลค่าตลาดจะเพิ่มไปถึง 933,065 ล้านบาท (ข้อมูลจาก ยูโรมอนิเตอร์) ซึ่งถือว่ามีอัตราโตกว่า GDP ในประเทศไทยที่คาดว่าจะโตราว 3-3.5 % ขณะที่กลุ่มอาหารซูเปอร์พรีเมียมมีสัดส่วน 7.3% คิดเป็นมูลค่า 57,100 ล้านบาท เป็นกลุ่มที่เติบโตสูงสุดราว 17% โดยมีปัจจัยมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซื้อเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กอปรกับแรงหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การบริโภคและภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทั้งสุขภาพกายและจิตใจ สั่งอาหารออนไลน์ เพื่อมาทำอาหารเองมากขึ้น เลือกอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัยสูง จากแหล่งผลิตที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับและเชื่อถือได้ ทั้งยังตระหนักและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อการบริโภคที่ยั่งยืน ดีต่อโลกและต่อตัวเอง
ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียม ล่าสุดทางบริษัททุ่มงบ 100 ล้านบาทเปิดตัวแคมเปญการตลาดใหม่ของ S-Pure พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "S-Pure Prime" เนื้อสัตว์แปรรูปสไตล์โฮมเมด ประกอบด้วย ไส้กรอกเวียนนา, เบคอนหมูรมควัน, พอร์กลอยน์แฮมรมควัน, โบโลญญาหมู และโบโลญญาไก่ ที่ถูกรังสรรค์ความอร่อยจากธรรมชาติอย่างพิถีพิถัน ปราศจากการแต่งเติมสารเคมี รวมถึงสารปรุงแต่ง สารกันบูด ผงชูรส วัตถุเจือปนอาหาร และยังใช้วัตถุดิบจากเนื้อหมู เนื้อไก่ S-Pure 100% นับเป็นผลิตภัณฑ์ “อาหารฉลากสะอาด (Clean Label) รายแรกในประเทศไทย
นอกจากนี้ ในแคมเปญการตลาดยังมีกิจกรรม “S-Pure The Natural Way” ที่พร้อมยกขบวนศิลปินดาราชื่อดังมาแชร์เคล็ดลับการดูแลสุขภาพและสาธิตการทำอาหาร รวมถึงกิจกรรมพริวิเลจ พิเศษ! สำหรับลูกค้า S-Pure เร็ว ๆ นี้ การเปิดตัวแคมเปญ S-Pure ในครั้งนี้จึงไม่เพียงตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดอาหารซุปเปอร์พรีเมี่ยม ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนดำเนินชีวิต ด้วยการดูแลสุขภาพด้วยวิธีง่าย ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ (Healthy Lifestyle Inspiration) เพื่อคุณภาพชีวิตของทุกคนที่ยั่งยืน ตอกย้ำจุดแข็งของเบทาโกรในฐานะผู้ผลิตอาหารที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยในระดับสูงสุด สำหรับสินค้า S-Pure มีวางจำหน่ายที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ รวมถึงเบทาโกรช็อป เบทาโกรเดลี่ และแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ Freshket, Grab, Lineman และ Robinhood
โอลิเวอร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เบทราโกรเรามีแชร์อยู่ในกลุ่มตลาดอาหารซุปเปอร์พรีเมี่ยมอยู่มากกว่า 50 % จากมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 57,100 ล้านบาท และในตลาดกลุ่มอาหารดังกล่าวปัจจุบันมีผู้เล่นหลักๆ อยู่ 3-4 แบรนด์ แต่เนื่องจากเทรนด์ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญต่อวัตถุดิบอาหารที่พรีเมียมมากขึ้น เชื่อว่าจะทำให้มีแบรนด์ใหม่ๆ สนใจเข้ามาในตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง แต่มองว่าการที่จะทำได้นั้นค่อนข้างยาก ส่วนใหญ่จะทำได้ในสเกลเล็กๆ จำหน่ายเฉพาะกลุ่มหรือมีจำหน่ายน้อย การจะทำสเกลใหญ่อาจจะยาก โดยการสร้างแบรนด์และช่องทางจำหน่ายที่เข้าถึงกลุ่มแมสอาจจะทำได้ยากจากเจ้าตลาดที่มีอยู่แล้ว 3-4 ราย
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดขาย S-Pure ปีนี้ จะเติบโตมากกว่า 17% หรือต้องโตมากกว่าตลาด ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันยอดขายของเบทาโกรให้มีรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เหมือนในปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวมถึง 113,877 ล้านบาท เพื่อก้าวสู่แบรนด์ธุรกิจอาหารชั้นนำระดับโลกต่อไป