อีกแล้วครับ..รถพ่วงขับโดยหนุ่มวัยแค่ 21 ปี ด้วยความคึกคะนองไม่มีสติรอบคอบดีพอ เห็นถนนหลวงเหมือนสนามประลองความเร็วรถพ่วง กะระยะไม่แม่น เก็งสถานการณ์ ณ วินาทีนั้นพลาด

ปลายสัปดาห์ที่แล้วก็ทำให้ผู้นั่งในรถตู้รุ่นเก่าเกิดอุบัติเหตุตายไปอีก 7 ศพ สาหัสอีก 4 ราย

รถตู้ไม่ว่ารุ่นใหม่หรือรุ่นเก่า ล้วนมีโครงสร้างเปราะบาง มีแค่เหล็กสังกะสีบางๆ แปะเป็นโครงที่ขึ้นรูปด้วย "ดีไซน์" สวยงามอย่างเดียว ไม่มีอะไรที่หนาแน่นสามารถปกป้องตัวรถให้รอดพ้นจากการปะทะขนาดแรง เร็วและหนักๆ เลยแม้แต่น้อย

ที่ร้ายและน่าสะพรึงกลัวที่สุดคือ ประเทศไทยโดยกรมการขนส่งทางบกยินยอมอนุญาตให้ใช้เป็นรถบรรทุกผู้โดยสารได้อย่างถูกกฎหมายมากถึง 14-15 คนต่อ 1 คัน

โดยผ่านกระบวนการวิ่งแบบเถื่อนๆ มาก่อน แล้วค่อยเพิ่มปริมาณไปเรื่อยๆ จากวันเป็นเดือน และสั่งสมเป็นปีๆ จนในที่สุดรถตู้ก็มีปริมาณมากเป็นหมื่นๆคัน...แล้วกลายเป็น "ม็อบรถตู้" วิ่งทับเส้นทางสัมปทานของรถเมล์ประจำทางจากสายสั้นๆ ลุกลามและรุกครอบงำเส้นทางสัมปทานรถเมล์ทั่วประเทศ

เดี๋ยวนี้ผู้ประกอบการรถเมล์สายสั้นและระยะกลางเดิมๆ ถ้ายังวิ่งอยู่ได้ตลอดรอดฝั่งก็ถือว่า "อึดสุดๆ" หรือ "มีเส้นแข็ง" หรืออาจมี "คาราวานรถตู้" เป็นของตัวเอง เพื่อให้ไล่ทันกับกระแสความนิยมเดินทางของผู้คนที่เปลี่ยนไป โดยที่ไม่รู้จะไปโทษใครนอกจาก "เวรกรรม" ที่อนิจจังจาก "กติกาแหกคอก" ซึ่งไม่มีในสารบบรถโดยสารประจำทาง

คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เคยรับผิดชอบกรมการขนส่งทางบกมาตั้งแต่ยังเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ประกาศว่าได้แก้ปัญหารถตู้ที่เกิดอุบัติเหตุทำให้ผู้โดยสารตายคราวละหลายๆ ศพด้วยวิธีติดตั้งระบบ GPS เพื่อควบคุมความเร็วรถตู้ด้วยดาวเทียม และกำหนดให้รถตู้ประจำทางวิ่งเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 110 กิโลเมตร (ซึ่งความจริงวิ่งเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็เสี่ยงเต็มทีแล้ว)

รถตู้คันใดวิ่งความเร็วเกินจากที่อนุโลมสูงสุด 110 กิโลเมตร ก็จะถูกดาว เทียมจับความเร็วส่งไปยังศูนย์ควบคุมกลางออก "ใบสั่ง" ทันทีด้วยค่าปรับสูงถึงครั้งละ 5,000 บาท หากผิดเป็นครั้งที่ 2 ก็จะห้ามรถคันนั้นวิ่งทันที

ขอยืนยันด้วยสายตาตัวเอง และสายตาผู้ใช้รถใช้ถนนอีกนับไม่ถ้วนว่า สถานการณ์รถตู้โดยสารที่วิ่งระหว่างจังหวัด นอกจาก "กูไม่กลัวกฎ" แล้ว ไอ้ที่วิ่งความเร็วต่ำกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง...แทบไม่มีให้เห็นซักคันเดียว

แปลว่า ถ้าพลาดนิดเดียว ก็ตายลูกเดียว ถ้ามีผู้โดยสารเต็มคันรถ 14 คนบวกคนขับอีก 1 รับรองได้เลยว่า 2-3 แถวแรก มีสิทธิ์ "ตายยกแถว" ตั้งแต่ 3-10 คน!

อย่าลืมรถตู้ "พิมพ์นิยม" รุ่นนี้ เครื่องแรงและเหยียบความเร็วจาก "ตีนผีสิง" อย่างน่ากลัวยิ่ง

หันไปดู พขร. (พนักงานขับรถ) นอกจากวัยหนุ่มคึก อารมณ์ไม่นิ่ง พฤติกรรมกล้าได้กล้าเสีย แถมมีปัญหาส่วนตัวพร้อมที่จะระบายโทสะอย่างกักขฬะแก่ผู้โดยสารได้ทุกนาที...ผสมกับกฎระเบียบ และสุขภาพจิตคนขับ บวกความบอบบาง ของรถตู้ที่ไม่เหมาะกับการใช้โดยสารประจำทางเลยแม้แต่น้อย..จะพ่วงกับถนนที่ไม่เรียบ มีหลุมร่องพร้อมทำให้เกิดความผิดพลาดเฉียงเฉเป๋แฉลบได้ทุกเมื่อ

เชื่อขนมกินได้เลยว่า "มหาภัยรถตู้" ยังจะเจอ "แจ็กพอตตายยกชุด" ได้ทุกเส้นทาง ในอีกไม่กี่มื้อข้างหน้า โดยเฉพาะหน้ามรสุม

วันนี้คุณชัชชาติรั้งตำแหน่ง "เบอร์ 1 คมนาคม" แล้ว ท่านยังจะพิถีพิถันเอาจริงกับ "กฎเหล็กคุมรถตู้" อยู่อีกหรือไม่ แต่อยากติงเตือนไว้ว่า รถตู้มีแต่จะเพิ่มปริมาณมากขึ้น แถมเป็นรถตู้ยี่ห้อเดียวที่ครองถนนมากที่สุดในเมืองไทย

ผู้ผลิตและเจ้าของไม่ใช่คนไทยแน่ ถ้ามองในแง่กำไร ถือว่าญี่ปุ่นได้ประโยชน์เต็มๆ

เขาขายอย่างเดียว ทำยอดอย่างเดียว โดยไม่แยแสต่อความตายในชีวิตของคนไทยแม้ซักศพ

การควบคุมความเร็วรถตู้โดยสารด้วยวิธีการที่เป็นอยู่ ไม่พอหรอกครับท่าน รัฐมนตรี...นอกจากสร้างกติกาที่ดูเหมือนขลังน่าเกรงขามให้กลายเป็น "กระดาษชำระ" แล้ว ยังถูกกระบวนการ "วิ่งเต้นล้มใบสั่ง" จากเจ้าของรถที่มีอิทธิพลระดับมาเฟียเหนือกรมอีกต่างหาก

มีวิธีเดียวที่ "คิดต่าง" คือ สั่งการให้กรมการขนส่งทางบก ตั้งทีมงานพิเศษขึ้นมาอีกหนึ่งหน่วย เพื่อตรวจจับ "รถตู้มหาภัย" ให้เสียค่าปรับจริงจังแล้ว ต้องขออำนาจศาล "ยึดรถตู้" ห้าม "หากิน" ชั่วคราว 30 วันขั้นต่อไปเพิ่มเป็น 60 วัน จนถึงขั้นยึดรถถาวรและขายทอดตลาด จึงพอจะเข็ดหลาบได้

อีกมาตรการหนึ่ง กระทรวงคมนาคมต้องออกกฎเข้มให้คนขับทุกคน "เข้าคอร์ส" อบรมอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อกระตุ้นให้คนขับมีจิตสาธารณะ มีสติ สัมปชัญญะ ทั้งมีสัมมาคารวะ ระวังรอบคอบ สุภาพ ไม่ก้าวร้าวบูดบึ้งไม่ว่าจะจมอยู่ในอารมณ์ใด เพื่อ "ฝังจิตสำนึกรับผิดชอบ" เกาะติดในจิตใจให้ได้...ไม่งั้น เราก็คงรอฟังแต่ข่าวร้ายว่าจะเกิดกับใครเป็นรายต่อไป

หรือว่า ฯพณฯ กำลังสนุกกับ "เกมรถไฟความเร็วสูง" จนลืม "ภัยรถตู้ความเสี่ยงสูง" ไปแล้ว?