Toggle navigation
วันศุกร์ ที่ 20 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
วิเคราะห์-บทความ-คอลัมน์
"แบล็กเอาต์"พ่นพิษ! รัฐบาลดับไฟใต้"พลังงานไทย..เพื่อไทย"
"แบล็กเอาต์"พ่นพิษ! รัฐบาลดับไฟใต้"พลังงานไทย..เพื่อไทย"
วันอาทิตย์ที่ 02 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Tweet
ผลพวงจากวิกฤติแบล็กเอาต์!! หรือเหตุการณ์ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างทั่วทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ ได้สร้างความตื่น ตระหนกในวิกฤตการณ์พลังงานของประเทศ โดยกว่าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะสามารถกู้ไฟฟ้ากลับมาใช้งานได้ตามปกติทุกพื้นที่ ก็ใช้เวลาไปเกือบ 5 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ผิดเพี้ยนไปจากคำโฆษณาชวนเชื่อที่ กฟผ.เคยจัดทำไว้เมื่อปี 2552 โดยมีเนื้อหา เกี่ยวกับการซักซ้อมกู้วิกฤติไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง พร้อมเน้นย้ำถึงการฝึกซ้อมรับมือ "วิกฤติแบล็กเอาต์" อยู่ตลอดเวลา จนสามารถกู้ไฟฟ้าให้กลับคืนมาได้ภายใน 10 นาที แถมยังให้คำมั่นสัญญาทิ้งท้ายว่า จะซักซ้อมรับมือให้ทันใน 5 นาที
ทว่าเหตุการณ์เมื่อช่วงค่ำวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา กลับเป็นในทางตรงข้าม จนก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาลต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ ทั้งยังกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคเอกชนราวกับไฟไหม้ ฟาง!! ซึ่งล่าสุดทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ประเมินความเสียหายรวม มากกว่า 1 หมื่นล้านบาท
"เกียรติ สิทธีอมร" ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เอ่ยวิพากษ์รัฐบาลว่า... เหตุการณ์นี้ถือเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมาก และรัฐบาลไม่ควรอ้างว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ไม่เพียงพอ เพราะปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศ ไทย ก็มีกำลังการผลิตไม่เพียงพอรองรับปริมาณความต้องการในทุกพื้นที่ของประเทศ ซึ่งตามปกติแล้วจะต้องมีระบบสายส่งที่มีประสิทธิภาพ สามารถเชื่อมโยง การจ่ายไฟฟ้าให้ประชาชนและผู้ประกอบ การทุกภูมิภาค
อีกทั้งในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยจะเข้าร่วมเออีซี ต้องมีการเชื่อมโยงความร่วมมือทั้งด้านระบบการส่งไฟฟ้าและ ก๊าซกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างความ มีเสถียรภาพทางพลังงาน ดังนั้น การที่รัฐบาลและกฟผ.ออกมาพูดเรื่องปัญหากำลัง การผลิตถือเป็นสิ่งที่น่ากังวลว่า เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นและอธิบายกับประชาชนได้ตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่?!!
เหนืออื่นใด ยังทำให้เกิดกระแสสังคมล้อเลียนรัฐบาลว่า "..ใช้นโยบายดับไฟใต้อย่างได้ผล!" ซึ่งเท่ากับว่าสังคมไม่ เชื่อมั่นในนโยบายของรัฐบาล ถ้าตราบใด ที่รัฐบาลและกระทรวงพลังงานยังไม่สามารถอธิบายถึงความจริงที่เกิดขึ้น และให้หลักประกันได้ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดซ้ำอีก
ขณะที่ ก่อนหน้าการเกิด "แบล็กเอาต์" เพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์... "เฮียเพ้ง" พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่า การกระทรวงพลังงาน เคยระบุถึงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ที่ จ.กระบี่ ซึ่งมีการก่อหวอด ค้านรุนแรงจากประ-ชาชนในพื้นที่ โดย "เฮียเพ้ง" ได้ระบายความอัดอั้นตันใจว่า "...รู้สึกเบื่อ (การคัดค้านโรงไฟฟ้า) ดังนั้น หากประชาชน ไม่ต้องการจนสร้างไม่ได้...ก็จะไม่สร้างเช่นกัน หากภาคใต้เกิดปัญหาไฟดับ ก็เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบกันเอง"
แม้จะเป็นถ้อยคำตัดพ้อ แต่ปรากฏการณ์ไฟฟ้าดับใน 14 จังหวัดภาคใต้ที่เกิด ขึ้น ได้สะท้อนให้เห็นชัดถึงวิกฤติพลังงานของประเทศ อีกทั้งโมเดลสร้างโรงไฟฟ้า ก็เป็นสิ่งที่ "เฮียเพ้ง" ต้องการเดินให้สุดซอย!!
เพราะการสร้างโรงไฟฟ้าถือเป็นนโยบายสำคัญด้านพลังงานที่อยู่ในคำแถลง ของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 โดยเพิ่มการลงทุนในโครง-สร้างพื้นฐานด้านพลังงานและพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจพลังงานของภูมิภาค ตลอดจนสร้างเสริมความมั่นคงทางพลัง งาน พร้อมแสวงหาและพัฒนาแหล่งพลัง งานและระบบไฟฟ้าจากทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งให้มีการกระจายแหล่งและประเภทพลังงานให้มีความหลากหลาย เหมาะสม และยั่งยืน
ด้าน "มนตรี ปาน้อยนนท์" ส.ส. ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวย้ำหัวตะปูในเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ ที่ได้สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจ ท่องเที่ยว และภาคอุตสาหกรรมนับหมื่นล้านบาท โดยตำหนิ "พงษ์ศักดิ์ ที่ทำได้แค่..เอ่ยปากขอโทษ! แล้วบอกจะตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ซึ่งไม่น่าจะเพียงพอกับความรับผิดชอบถึงความมั่นคงด้านพลังงานของชาติและความเสียหายที่เกิดขึ้น
สำหรับสาเหตุไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างนั้น ทางกระทรวงพลังงานได้แถลงชี้แจงว่า เกิดจากการขัดข้องของระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่จ่ายไฟฟ้าจากภาคกลางไปยังภาคใต้ ขณะที่การแก้ไขสถานการณ์นั้น กฟผ.ได้เร่งการผลิตไฟฟ้าจากทุกโรงไฟฟ้า ในภาคใต้อย่างเต็มกำลังการผลิต และเดิน เครื่องผลิตไฟฟ้าจากดีเซลที่ จ.สุราษฎร์ ธานี และได้มีการซื้อไฟฟ้าจากมาเลเซีย
นั่นคือผลพวงที่เกิดจากวิกฤตการณ์ด้านพลังงานในชั่วคืนเดียว!!!
ส่วนความจำเป็นเรื่องการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มปริมาณสำรองไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้และลดการพึ่งพิงไฟฟ้าจากภาคกลางนั้น "เฮียเพ้ง" ระบุว่า ไม่อยากให้เชื่อมโยง อยากให้แยกเรื่อง การสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในพื้นที่ภาคใต้ออกจากปัญหาไฟฟ้าดับ เพราะไม่อยากให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นการใช้โอกาสนี้ผลักดัน เพราะการสร้างโรงไฟฟ้าต้องมาจากการยอมรับของประชาชน ถือเป็นความจำเป็นของคนในพื้นที่ แต่หากไม่ยอมรับ กฟผ.ต้องหาแนวทางอื่น เช่นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ
แต่ดูเหมือนว่า การแยกเหตุการณ์ แบล็กเอาต์กับความพยายามสร้างโรงไฟฟ้าในภาคใต้ออกจากกันจะไม่เป็นผลเท่าใดนัก เพราะการแถลงเพื่อสร้างความ เข้าใจให้กับสาธารณะ กลับกลายเป็นการ "เปิดช่อง!" ให้ฝ่ายที่คัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าพร้อมใจกันออกมาโจมตี พร้อมกับปลุกกระแสต่อต้าน กฟผ.ระลอกใหม่ว่า กฟผ.และรัฐบาลอาจใช้ช่วงจังหวะนี้เดินหน้าโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขนาด 800 เมกะวัตต์ ในพื้นที่เป้าหมายอย่าง จ.กระบี่ สอดรับกับที่ รมว.กระทรวง พลังงาน มีคิวจะเดินทางไปร่วมทำประชา-พิจารณ์กับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ จากวิกฤติขาดแคลนด้านพลัง งาน ได้ส่งผลให้ "กระทรวงพลังงาน" ต้องรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหินให้ครบ 10,000 เมกะวัตต์ เพื่อให้สามารถคงสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินของ กฟผ. ได้ตามแผนพีดีพี 2010 ที่กำหนดให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินรวม 4,400 เมกะวัตต์ไว้ตามเดิม แต่จะเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้า ถ่านหินที่ก่อสร้างในประเทศเพื่อนบ้านในส่วนที่เหลือให้ครบ 10,000 เมกะวัตต์
โดยได้กำหนดไว้คร่าวๆ ว่าจะรับซื้อ ไฟฟ้าประมาณ 4,000 เมกะวัตต์จากโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จะสร้างในนิคมอุตสาหกรรม ทวาย ซึ่งเดิมมีแผนว่าจะก่อสร้างโรงไฟฟ้า ขนาด 4,000 เมกะวัตต์ แต่ในเฟสแรกจะผลิตเพื่อขายไฟฟ้าป้อนให้กับโรงงานที่ก่อสร้างขึ้นในนิคมฯ
หลังจากนั้นในเฟสต่อไปจึงจะจัดส่ง มายังไทย แต่มีการเปลี่ยนแผนใหม่ คือ โรงไฟฟ้าที่จะก่อสร้างขึ้นจะขายไฟฟ้าให้กับประเทศไทยทั้งหมดก่อน เพื่อให้โรงไฟฟ้าสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นหากมีอุตสาหกรรมเกิดขึ้นก็สร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเพื่อจ่ายไฟเข้าในนิคมฯ
"ขณะนี้ กฟผ.ได้เข้าไปเข้าช่วยพม่าในการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในนิคมฯทวายว่าเป็น อย่างไร ส่วนเมื่อศึกษาแล้วเสร็จใครจะเป็นผู้ลงทุนในโครงการนี้ ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลพม่าว่าจะให้สัมปทานกับใคร ทั้งนี้ มีเป้าหมายว่าโรงไฟฟ้าในนิคมฯ ทวาย น่าจะเกิดขึ้นในอีก 7-8 ปีข้างหน้า ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 1,600 เมกะวัตต์ ก็จะมีการรับซื้อไฟฟ้าถ่านหินจากประเทศเพื่อนบ้านประเทศอื่น เช่น มาเลเซีย ลาว กัมพูชา เป็นต้น ซึ่งก็มีแผนที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเสนอ ขายไฟฟ้าให้กับประเทศไทย" รมว. กระทรวงพลังงาน ระบุ
เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเกิดขึ้นภายใต้ "พีดีพี" ซึ่งน่าจะเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินกับโรงไฟฟ้าก๊าซที่จะต้องปรับเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิง "แอลเอ็นจี" ซึ่งมีราคาแพงมากที่ราคา 4.34 บาทต่อหน่วย ในขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหินเฉลี่ยค่าไฟฟ้าที่ 2.94 บาทต่อหน่วย ส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ อีก 2 โรง ที่มีกำลัง 2,000 เมกะวัตต์ จะถูกบรรจุเข้าระบบในปี 2569-2570 ซึ่งขณะนี้ก็ถูกต่อต้านอย่างหนัก และในที่สุดก็คงต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย
ตามแผนเดิม กฟผ.จะต้องนำโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาดเข้าระบบจำนวน 4 โรง โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าโรงละ 800 เมกะวัตต์ รวมทั้งหมด 3,200 เมกะวัตต์ ระหว่างปี 2562-2571 แต่ทุกพื้นที่ที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าเหล่านี้ถูกต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นกระบี่ ประจวบคีรีขันธ์ หรือนครศรีธรรมราช ขณะที่การซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็อยู่ในภาวะตึงตัว ยิ่งทาง สปป.ลาว ก็ยัง ไม่มีการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่จะผลิต ไฟฟ้าขายให้ประเทศไทยอีกในช่วงนี้ คงเหลือ ความหวังอยู่ที่พม่า ที่มีโอกาสจะสร้างเขื่อน กั้นแม่น้ำสาละวินกับโครงการโรงไฟฟ้าที่ทวาย ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด
แต่ก็ยังมีความเสี่ยง!!! เพราะโครงการเหล่านี้ยังอยู่ในแผ่นกระดาษ
อย่างไรก็ดี นโยบายการผลักดันโรง ไฟฟ้าของรัฐบาลนั้น เริ่มมาตั้งแต่สมัยที่ "พิชัย นริพทพันธุ์" และ "อารักษ์ ชลธาร์นนท์" เป็นรมว.กระทรวงพลังงาน ซึ่งมีการเร่งรัดให้ กฟผ.ดำเนินการบรรจุ "โรงไฟฟ้าถ่านหิน เข้าระบบมากขึ้น เนื่องจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้หลุดออกไปจาก "แผนพีดีพี" เหตุเพราะประชาชนไม่ยอมรับ ขณะที่นโยบายการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาดก็เช่นเดียวกัน เพราะยังไม่อาจลบภาพของ "โรงไฟฟ้าแม่เมาะ" ที่ก่อให้เกิดมลภาวะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ทำให้มีกระแสคัดค้านจากชาวบ้านในพื้นที่และเครือข่ายเอ็นจีโอตามมา กระทั่งโครงการ ทั้งหมดต้องหยุดชะงักไป
ตลอดระเวลาการปฏิบัติหน้าที่ "บิ๊ก บอสพลังงาน" ทั้งคู่ก็ไม่สามารถทำให้ "โมเดลโรงไฟฟ้าถ่านหิน" ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ จนมีการเปลี่ยนตัวให้ "พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล" เข้ามาเป็นรมว.กระทรวงพลังงาน คนที่ 3 ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพื่อเดินหน้าโรงไฟฟ้าตามโรดแมปเดิม
ผลพวงในปรากฏการณ์ "ไฟใต้ดับ" คงยากที่จะปฏิเสธว่า เหตุการณ์นี้ได้สร้าง ความรู้สึกคลางแคลงใจ จนถึงไม่ไว้วางใจ ว่า รัฐบาลที่มี "เฮียเพ้ง" กำกับดูแลด้านพลังงาน กำลังพยายาม "สร้างเงื่อนไข!!" ให้สังคมไทยต้องจำนนกับโครงการสร้างโรงงานไฟฟ้าถ่านหินที่เตรียมผุดขึ้นราวดอกเห็ดในอนาคตหรือไม่...
แบล็กเอาต์ 14 จังหวัดใต้... นอกจากเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึง "วิกฤติด้านพลังงาน" ของประเทศแล้ว ยังถือเป็นความสุ่มเสี่ยงยิ่งยวดของ "เฮียเพ้ง" เพราะถ้าเอาไม่อยู่ ก็คงไม่แคล้วต้องม้วนเสื่อ เหมือนรัฐมนตรีพลังงาน 2 คนก่อนหน้าที่ไม่ถูก "พี่ชาย-น้องสาว" กดไลค์!!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
ภาษีบุหรี่ ค้างคา "แช่แข็ง" ไม่เดินหน้...
...
อะไรคือ ? โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มา...
...
ttb analytics มองเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็ง...
...
มาตรการ MPOWER เสาหลักกฎหมายควบคุมผลิตภั...
...
“ทักษิณ” พ่อมดการเมือง????...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ