"ทักษิณ"ใจกลางจักรวาลแรงเชียร์"กองหนุน"แรงอาฆาต"ฝ่ายล้ม"

วันพฤหัสบดีที่ 06 มิถุนายน พ.ศ. 2556



ท่ามกลางความอึมครึมทางการ เมือง แม้การอภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายปี 2557 ในกรอบวงเงิน 2.525 ล้านล้านบาท จะผ่านฉลุยด้วย "เงื่อนไขฝักถั่ว" ทว่าในอีกด้าน หนึ่ง "เกมพาวเวอร์เพลย์" บนกระดานการเมืองก็ยังดำเนินไปอย่าง ไม่หยุดยั้ง

สำคัญเหนืออื่นใดคือ "ภารกิจ" ของฝ่ายหนุนรัฐบาล ที่กำลังหาทางเดินให้สุดซอยในปฏิบัติการ "ทักษิณ.. เชนคัมแบ็ก" ที่หวังนำพา "พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี หวนคืนสู่มาตุภูมิอย่างสง่างาม..โดยไร้มลทิน

ปีกแรกเป็นการเคลื่อนไหวโดย "พรรคเพื่อไทย" ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ใช่นโยบายอย่างเป็นทางการของรัฐบาล

แต่หากทราบกันดีว่าเป็นภารกิจที่สำคัญในลำดับต้นๆ และเป็น "ภารกิจเร่งด่วน" ที่ประชาชนผู้ให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยรุมเร้า และทวงถามกันมาโดยตลอด

อีกปีกหนึ่งคือการขับเคลื่อนของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จ การแห่งชาติ หรือ "นปช." ที่มีเป้าหมายดุจเดียวกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่ทั้ง สองปีกก็ยังคงทำไม่สำเร็จ

หนทางที่เริ่มไปแล้ว มีทั้งการประนีประนอมกับ "คณะอำนาจ" ที่ยืนอยู่ตรงข้าม ด้วยอารมณ์อดกลั้นอยู่ เป็นนาน ตามสภาพ "ยอมถอย" พร้อม ก้มหน้าไม่ปริปากโต้ตอบ "วาทกรรมประดิษฐ์" ของฝ่ายปฏิปักษ์ที่เขย่ามาอย่างต่อเนื่อง

หรือแม้แต่ "ยอมหยุด!" การลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ "วาระ 3" ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ กระทั่ง

ยอมขัดใจมวลชน "เสื้อแดง" ด้วยการสั่งรัฐบาลระงับการเสนอ "พ.ร.ก.นิรโทษกรรม" และชะลอนำร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมเข้าสภา

แต่ทุกหนทางที่ยอมถอย! "ทักษิณ" ทำเพียงเพื่อ "ประนีประนอม" แต่สัญญาณให้กลับบ้านเงียบหาย

ตรงกันข้าม "คณะอำนาจ" ยังคงตามจองกฐินไม่เว้นวัน มุ่งจะยุบพรรค เพื่อไทย ทำลายรัฐบาล แยกสลายมวล-ชนเสื้อแดง

"ทักษิณ" คงเข้าใจว่า มีอำนาจเบื้องหลังคอยบงการให้ล้มรัฐบาล! โดย มีการตีความคำพูดของ "ทักษิณ" ผ่านเวทีเสื้อแดงว่า...เกิดสถานการณ์ใหม่ขึ้น แล้ว คือส่งสัญญาณยกเลิกการประนีประนอม

เพราะไปตำหนิศาลรัฐธรรมนูญด้วยถ้อยคำแรงๆ ว่า "ไม่เป็นกลาง" หลังจากนั้นก็มีสไกป์ลงกลางวง! ให้คน เพื่อไทยหนุน "พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" อย่างเต็มตัว

สิ่งเหล่านี้ ย่อมถูกประเมินค่าทางการเมืองว่า "ทักษิณ" ฮึดสู้! และได้เปิดยุทธการ "แตกดับเพื่อแตกหัก" ขึ้นมาเผชิญหน้ากับ "ฝ่ายปฏิปักษ์" จนเป็นที่มาของการเดินสุดซอย ตามที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยพยายามดันร่างกฎหมายสำคัญหลายฉบับ ทั้งต่างกรรมต่างวาระ...

ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ การเลื่อนวาระพิจารณา "พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" ขึ้นมาเป็นวาระแรกในการประชุมสมัยสามัญทั่วไปที่จะเริ่ม 1 สิงหาคมนี้

ขณะที่บทสรุปในการดันร่างกฎ-หมายดังกล่าว ได้คงไว้เพียง 2 ฉบับสำคัญ คือร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ เวอร์ชั่น "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ ส.ส.พรรค เพื่อไทย 163 คน ที่จัดมาเอาใจ "คนไกลบ้าน"

เมื่อลงลึกไปในรายละเอียดจะพบ ว่ามีหลาย "ปัจจัย" ที่สามารถใช้เป็น "ประตู" ช่วยเปิดทาง ทั้งกลไกอำนาจทางการเมือง และ "กฎหมาย" ที่จะเป็น "บันไดขาลง" ทำให้ "ทักษิณ" สามารถกลับบ้านด้วยความชอบธรรมมากขึ้น

อีกหนึ่งคือ "ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" ฉบับที่ผลักดันโดย "วรชัย เหมะ" ส.ส.สมุทรปราการ โดยมี ส.ส.สายเสื้อแดง และแนวร่วมนอกสภา คอยตีปีกเชียร์!

ทว่า พอเอาเข้าจริง...ยิ่งดันก็ยิ่งส่อแววล่ม! เพราะเสียงสนับสนุนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อถึงคราวที่ต้องเลือก "หนุน" ร่างกฎหมาย คนเหล่านี้ก็ย่อมเลือกหนุนฝ่ายตนเอง เพื่อลดความเสี่ยง ดับกระแสต้านจากทั้งในและนอกสภา

อีกทั้งสถานการณ์ในมุ่งค่ายเพื่อไทย ยังอยู่ภายใต้โมเดล "แบ่งแยกและปกครอง" ซึ่งเริ่มจะแบ่งร่างกันอย่างชัดเจน จนแตกสำมะโนครัวออกเป็น "3 ก๊ก"

"ก๊กแรก" ชัดเจนมาตั้งแต่เริ่ม คือเหล่านักเลือกตั้งมืออาชีพที่ทรงอิทธิพล ยิ่งภายในพรรคเพื่อไทย เช่นกลุ่มวังบัว บานของ "เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์" ที่ระยะหลังมานี้ ได้รับบทบาทให้เข้ามาดูแล "ทีม ส.ส.ในสภา" และยังได้ทีมงานไทยคู่ฟ้าของ "นายกฯ ปู" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาช่วยเสริมใยเหล็กและ "เพิ่มอำนาจต่อรอง" ในทุกมิติกับ "พี่ชายคนไกลบ้าน"

ส่วนอีก "2 ก๊ก" ที่เหลือ..ล้วนแปลกแยกออกมาอย่างชัดเจน ทั้งที่มาจากกลุ่มก้อนเดียวกัน นั่นคือการแตกตัวของ "ส.ส.อีสาน" ที่หันไปร่วมวงกับ "สิงห์เหลิม" โดยมี "ขวัญชัย ไพรพนา" แกนนำแดงสายฮาร์ดคอร์ เป็นมือประสานสิบทิศ! มุ่งสร้าง "ขั้วอำนาจใหม่" ภายในพรรคเพื่อไทย

โดยที่การแตกตัวรอบนี้ ล้วนมาจากปัจจัยที่ทำให้ "ส.ส.อีสาน" กลุ่มนี้ ไม่พอใจบทบาทของแกนนำ นปช. ที่เริ่ม รุกคืบไปแฝงโควตาในการลง "ส.ส.ภาคอีสาน" อีกทั้งจะสังเกตได้ว่าในการปรับ ครม.ที่ผ่านๆ มา โควตารัฐมนตรีของ ส.ส.อีสาน จะเป็นโควตาในลักษณะ "เก้าอี้ดนตรี" ที่ต้องวนกันนั่ง ทั้งที่จำนวน ส.ส.มีมากกว่ากลุ่ม-ก๊วน-มุ้ง-วังอื่น เพราะฉะนั้นการไปพึ่ง "สิงห์เหลิม" ก็พอจะอนุมานได้ว่า เป็นการจัดกระบวนทัพการต่อรองใหม่ โดยมี "เฉลิม อยู่บำรุง" เป็นหัวขบวนในการต่อรองกับ "คนไกล" ...

สรุปคือ 3 ก๊กเพื่อไทย จะประกอบ ด้วย "ก๊กเจ๊แดง" ... "ก๊ก ส.ส.อีสาน" และ "ก๊ก นปช."...

เมื่อพิจารณาจากความแปลกแยก ที่เกิดขึ้น คงไม่ต้องสงสัยว่าทำไม พ.ร.บ. ปรองดอง ที่ "อดีตนายกฯ ทักษิณ" ตั้งตารออย่างจดจ่อ อาจเกิดอาการสะดุดหยุดคาซอย! เพราะมันคือ "สนิมเนื้อใน" ที่กำลังกัดกินพรรคเพื่อไทย แต่จะกลายเป็นโศกนาฏกรรมทางการเมืองซ้ำซาก เหมือยุคพรรคไทยรักไทย หรือไม่...อนาคตย่อมมีคำตอบ?!!

ท่ามกลาง "ศึกใน" ที่ยังคงกัดกร่อน ความเป็นเอกภาพในค่ายเพื่อไทย ก็เริ่มปรากฏเงาทะมึนของ "ศึกนอก" อันเกิดจาก "ตัวละคร" ที่ออกมาแสดงตัวในที่แจ้ง โดยเฉพาะฝ่ายค้านมืออาชีพอย่าง "พรรคประชาธิปัตย์" ที่เดินหน้าค้านหัวชนฝาในทุกโครงการในทุกเรื่องและรวมไปถึงในทุกอิริยาบถของ "นายกฯ ยิ่งลักษณ์"

นี่ก็ชัดเจนในทางกระบวนการทางกฎหมายเช่นกัน คือศาลรัฐธรรมนูญ ที่เพื่อไทยได้ประกาศชัดแล้วว่าในการแก้รัฐธรรมนูญว่าจะยกเครื่อง "องค์กรอิสระ" ครั้งใหญ่...

แต่ก่อนจะไปยกเครื่ององค์กรอิสระ มันก็บังเกิด "กับดัก" ขวางอยู่กลางซอย...เมื่อ "สมชาย แสวงการ" .. "พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม" ส.ว. สรรหา รวมไปถึงกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่างยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ เชือด!! พรรคเพื่อไทยในข้อหาล้มล้างระบอบการปกครอง อันทอดยอดมาจากการยื่นแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 68

อันเป็นเหตุให้เหล่า ส.ส.และ ส.ว. ซีกรัฐบาล เปิดศึกครั้งใหญ่กับศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยการประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาล กระทั่งเป็นข้อถกเถียงอย่าง กว้างขวางในเรื่องแดนอำนาจ ที่ในอนาคตมันก็เริ่มปรากฏร่องรอยชัดเจน ว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะเดินหน้าเต็มตัวในทุกๆ กฎหมายร้อนที่ค้างเติ่งอยู่ในสภา..

แม้กระทั่งล่าสุด ก็มีการปะทะกับ องค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ที่เข้ามาตรวจสอบเรื่องโครงการ บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท จน เกิดเอฟเฟ็กต์ออกมาจากฝั่งแดง ในกรณีคนของ ป.ป.ช. เรียกเงิน 600 ล้าน บาท เป็นการตอบโต้..

นี่คือหน้าเก่า เหล่าขาประจำที่ตามจองเวร "ระบอบทักษิณ"

สำทับด้วยวาทะร้อนๆ ของ "สุริยะ ใส กตะศิลา" ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ที่มองว่าในอนาคตจะเริ่มมีกลุ่มตัวละคร หน้าใหม่ๆ ออกมาต่อต้าน "รัฐบาลปู" ซึ่งตรงนี้เอง หากเหลียวมองไปบนโลกไซเบอร์ โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ก็เริ่มมีผู้เล่นหน้าใหม่อย่างที่ "ยะใส" ระบุ..ค่อยๆ แสดงตัวออกมา

โฟกัสตรงไปที่การเคลื่อนไหวของ "แก้วสรร อติโพธิ" และ "พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร" ที่ประกาศทำสงครามไซเบอร์กับ "ทักษิณ" ในนาม "ไทยสปริง"

อย่างไรก็ดี ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้ง 2 คนนี้ ต่างมีความชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มว่า "ไม่เอาระบอบทักษิณ" ซึ่งการออกตัวแรงหนนี้ ก็ไม่ต่างกับการเปลี่ยนสนามลงมาเปิดศึกกับมุมแดงบนโลกออนไลน์

แต่ที่ชัดที่สุด และถือเป็น "ตัวละครหน้าใหม่" ที่ลงมาทำสงครามกับ "ระบอบทักษิณ" นั่นคือการก่อตัวของ "กลุ่มหน้ากาก วี ฟอร์ เวนเดตต้า" ในสังคมออนไลน์ยอดนิยมอย่างเฟซบุ๊ก ที่นับวันสัญลักษณ์ "หน้ากากขาว" ก็ยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้น

ในต่างประเทศ "หน้ากาก วี ฟอร์ เวนเดตต้า" ถูกนำมาใช้ในวิถีทางและจุดประสงค์ที่ต่างออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถูกนำมาใช้ในการประท้วงหลายครั้ง

สำหรับในประเทศไทย "หน้ากาก วี ฟอร์ เวนเดตต้า" ก็มีความชัดเจนว่าเป็นการรวมกลุ่มคนบนเฟซบุ๊ก เพื่อแสดงความคิดเห็นต่อต้าน "รัฐบาลยิ่งลักษณ์"

ยิ่งนานวันเข้า "หน้ากากขาวในเฟซบุ๊ก" ยิ่งทวีจำนวนมากขึ้นเป็นเงาตามกดดันรัฐบาล เรียกได้ว่าเป็นช่องทางในการรวมตัวของ "คนเกลียดรัฐบาล" ที่มาเจอกันโดยไม่ได้นัดหมาย

จะว่าไปแล้ว "หน้ากาก วี ฟอร์ เวนเดตต้า" เป็นสัญลักษณ์เพื่อสันติภาพ แต่มีความหมายตรงกันข้ามอย่าง สุดขั้วเพราะคำว่า "ฟอร์ เวนเดตต้า" แปลความเป็นภาษาไทยว่า..

สำหรับความอาฆาตแค้นอันยาวนาน!!


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ