ในพลัน "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงทั้งที่กำลังปรุงเมนูปรองดองอย่างเข้มข้น ก็ได้เปิดแฟ้มลับของตัวเอง เปิดโปงขบวนการล้มปู! โดยมี "กลุ่มทุนขนาดใหญ่" ที่เข้ามาสนับสนุนม็อบในการเคลื่อนไหว "ล้มรัฐบาล" ทั้งน้ำเลี้ยงจากแบงก์ใหญ่แห่งหนึ่ง กลุ่มค้าหมูเห็ดเป็ดไก่ และในรายที่ขายน้ำเมา

ในภาวะกรุ่นๆ ทางการเมืองที่ "สุ่มเสี่ยง" ต่อการนำพาสังคมไทย หลงเข้าสู่ "ทางตัน" แม้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะประกาศเดินสุดซอย! เล็งผ่านกฎหมายสำคัญหลายฉบับ ทั้งแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร่างปรองดอง หรือกระทั่งเมนูแก้กรรม ทว่ายิ่งรัฐบาลพยายาม ดิ้นรนสักเท่าไหร่ ก็ยิ่งโดน "ฝ่ายต่อต้าน" เปิดฉากรุกไล่จนแทบงอมพระราม ทั้งเกมบนดินและใต้ดิน

จึงน่าเป็นห่วงกับสถานการณ์ "การเมืองบนท้องถนน" ที่ตอนนี้มีทั้ง "ผู้เล่นหน้าใหม่" และ "หน้าเก่า" ค่อยๆ แสดงตัว ขึ้นเวที "ล้มรัฐบาล"

โดยการเคลื่อนไหวของ "ฝ่ายโค่นล้ม" เริ่มจะเข้มข้นขึ้นตามลำดับ! บรรดาแนวร่วม "ไม่เอาระบอบทักษิณ" ต่างประเดประดังเข้ามากดดันรัฐบาลอยู่ไม่ขาดสาย นับตั้งแต่ฉากที่ "ม็อบ เสธ.อ้าย" เปิดศึกยกแรกที่สนามม้านางเลิ้ง โดยระดมคนผ่านโซเซียลมีเดียในชื่อรหัส "สันนิบาตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย" ซึ่งหลังจาก "ม็อบเสธ.อ้าย" มอดดับลงไป "ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์" แกนนำแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน ก็ได้นำกลุ่มพลังธรรมาธิปไตย หรือผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) มาปักหลัก ยาวที่ท้องสนามหลวง เพื่อเรียกร้องในอธิปไตย "ประสาทพระวิหาร" ที่กำลังดำเนินคดีอยู่ในศาลโลก

แม้การขับเคลื่อนสู่ใจกลางพระนคร "ไชยวัฒน์" จะยืนกราน "คัดค้านศาลโลก" แต่เป้าหมายเดิมยังคงเป็นการขับไล่รัฐบาล"ยิ่งลักษณ์"

"เราจะอยู่จนกว่ารัฐบาลจะไป.." นั่นคือคำประกาศของ "ไชยวัฒน์" แต่พอเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จากที่เคยดูฮึกเหิม "ม็อบคนไทยรักชาติ" ก็เริ่มกลายเป็น "ฟืนเปียก..จุดไม่ติด!" เพราะขาด "แกนปิด" ของกลุ่มพลังธรรมาธิปไตยซึ่งมีหน้าที่ "เติมมวลชน" เข้ามาเป็นระยะๆ สำคัญเหนืออื่นใด คือการ "ขาดน้ำเลี้ยง" คอยสนับสนุนด้าน "ปัจจัยพื้นฐาน"

จนมาถึงหน้าใหม่อย่าง "หน้ากากขาว" หรือ "กาย ฟอว์กส์" ที่พยายามสร้างตัวตนให้เป็น "พลังใหม่" หวังยกระดับให้เป็น "สัญลักษณ์" ของความเกลียดชังรัฐบาล แฝงด้วยรหัสแค้น "ไม่เอาระบอบทักษิณ" ดุจเดียวกัน

น่าสนใจว่า ม็อบการเมืองที่ว่านี้.. ล้วนมีเงาเบื้องหลังที่เชื่อมโยงถึงกัน โดยมี "ตัวละครหน้าเดิม" อย่าง "สหายช่วง" ธงชัย สุวรรณวิหค อดีตกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ประจำเขต 3 จังหวัด (ตรัง-พัทลุง-สตูล) คอยบัญชาการอยู่! ซึ่ง เป้าหมายของการเคลื่อนไหวด้านมวลชน คือพยายามล้มล้าง "อำนาจเก่า" โดยการดึง "รัฐบาล ยิ่งลักษณ์" เป็นเป้าระบายแค้น

รองรับแผน การทำลายล้างอย่างเป็นระบบ!!!

ผนึกแนวรบ "เขย่ารัฐบาลปู" โดยเริ่มที่ "กลุ่มไชยวัฒน์" อาศัยกำลังจาก "ชนบท" เข้ามากดดันรัฐบาล มีเหล่าสหายป่าคอยเสริมเป็นด่านปะทะแรก" ขยักต่อมาคือ "แก๊งหน้ากากขาว" ที่เป็นแนวร่วมใหม่ของชนชั้นกลาง" ที่เคลื่อนขบวนต่อต้านรัฐบาลและเรียกร้องทหารให้ยึดอำนาจ"

เป็นการเชื่อมประสานจากป่าสู่เมือง ของ "คนสองกลุ่ม" ที่มีแนวคิดที่แปลก-แยก แต่มีเป้าหมายดุจเดียวกันคือการขับไล่ "ทุนสามานย์"

กระนั้นในการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองแต่ละครั้ง "ปัจจัย" ที่ขาดไปเสียมิได้ เพื่อให้การชุมนุมสามารถ "ยกระดับ" หรือยืดเยื้อไปแค่ไหน นั่นคือ การสนับสนุนจาก "กลุ่มทุน" หรือที่เรียก ว่า "ท่อน้ำเลี้ยง"

เพราะหากการชุมนุม ไม่ได้รับการ สนับสนุนจาก "กลุ่มทุน" การชุมนุมย่อมอยู่ในสภาพอ่อนแรง!!

ในพลัน "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ทั้งที่กำลังปรุงเมนูปรองดองอย่างเข้มข้น ก็ได้ เปิดแฟ้มลับของตัวเอง เปิดโปงขบวนการ ล้มปู! โดยมี "กลุ่มทุนขนาดใหญ่" ที่เข้ามาสนับสนุนม็อบในการเคลื่อนไหว "ล้มรัฐบาล" ทั้งน้ำเลี้ยงจากแบงก์ใหญ่แห่งหนึ่ง กลุ่มค้าหมูเห็ดเป็ดไก่ และในรายที่ขายน้ำเมา

"สิงห์เหลิม" ย้ำหัวตะปู "..ถ้าไม่หนุนเงินก็ไม่มีม็อบ"

ฉะนั้นเมื่อมีการต่อท่อน้ำเลี้ยง "การสะสมทุน-สะสมกำลัง" ของฝ่ายต้านจึงดำเนินไปอย่างเป็นระบบ

กระทั่งรายล่าสุดที่ "เจ้าของบ้านริมคลอง" พยายามแล่เนื้อเถือหนัง โดยระบุชื่อย่อ "ส." ที่ไปรับการอุดหนุน "น้ำเลี้ยง" จากอดีตโมกุลด้านสื่อสารอย่าง "เจ้าสัวบุญชัย เบญจรงคกุล" ผู้ก่อตั้งอาณาจักรยูคอม และเจ้าของค่ายมือใหญ่ "ดีแทค" เพื่อใช้เป็นทุนรอนในการ "ระดมคน" ออกมาโค่นล้มรัฐบาล

เมื่อมีควัน ก็ย่อมจะมีไฟ! โดย "ส." ที่สิงห์เหลิมว่านี้ "เจ้าสัวบุญชัย" ก็ยอมเฉลยข้อสอบว่าเป็น "ต้อย-สนธิญาณ (หนูแก้ว) ชื่นฤทัยในธรรม" เจ้าของสำนักข่าว ที-นิวส์ และอดีตบิ๊กบอสสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น แต่ยังคงปฏิเสธว่า "ไม่ได้ให้ทุนไปทำม็อบ.."

น่าสนใจยิ่งในตัวตนของ "สนธิญาณ" ซึ่งเขาเคยไขรหัสชีวิตของตัวเองว่า...เริ่มมาจาก "กุ๊ย" จนมาเป็นนักข่าว! กระทั่งรวยมาได้ระดับร้อยล้านพันล้านเช่นทุกวันนี้ ก็เพราะมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับ "เจ้าสัวบุญชัย" และ "ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา" ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

"สนธิญาณ" เป็นคนปักษ์ใต้ เคยเข้าป่ามาในยุคการปราบปรามคอมมิวนิสต์ โดยหลังออกจากป่าพร้อม "เหล่าสหาย" ก็กลับคืนสู่เส้นทางปกติชน

เส้นทางการก้าวเข้าสู่ชีวิต "นักข่าว" ของสนธิญาณ เริ่มต้นจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 สมัยที่ "ประชา มาลีนนท์" เป็นผู้ควบคุมดูแลงานทางด้านข่าวของสถานี จากนั้นโลดแล่นอยู่บนถนนน้ำหมึกร่วมกับ "ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์" ทำหนังสืออาทิตย์วิเคราะห์รายวัน-รายสัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลา เดียวกับที่เขาก้าวสู่เส้นทางธุรกิจวิทยุ จัดตั้งสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น บุกเบิกการนำเสนอข่าว 24 ชั่วโมง จนได้สร้างความฮือฮา ให้กับวงการสื่อด้านวิทยุอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

จวบจนเมื่อครั้งสำนักงานทรัพย์สินฯ ก้าวเข้าสู่กิจการทางด้าน "สื่อ" ในนามของ "สยามทีวี แอนด์ เทเลคอมมิวนิเคชั่น" เขาได้รับมอบหมายจาก "ดร.จิรายุ" ให้เข้ามารับงานชิ้นนี้ ซึ่งมีส่วนร่วมกับทีมของ "จุลจิตต์ บุณยเกตุ" ในการทำข้อเสนอในการยื่นประมูล จนกระทั่งสามารถคว้างานประมูลมาได้ ทำให้ ก้าวกระโดดสู่ "สยามทีวี" และเป็นสื่อประเภทเดียวที่ยังไม่มีโอกาสทำสำเร็จ เพราะมีปัญหาของผู้ถือหุ้นเสียก่อน

ทั้งนี้ ในช่วงที่ไอเอ็นเอ็นไปมีสายสัมพันธ์กับมีเดียพลัส ก็เคยมีการตกลงจะผลิตข่าวป้อนให้ไทยสกายทีวีมาแล้ว แต่กลับต้องล้มไปอีกครั้ง

ไม่นาน "สนธิญาณ" จึงกลับไปปักหลักใหม่กับไอเอ็นเอ็น แม้ว่าคลื่นข่าวของ ไอเอ็นเอ็นยังสามารถจับกลุ่มผู้ฟังได้เหมือน เดิม แต่กลับต้องประสบปัญหาเรื่องเงินลงทุน เพราะสำนักงานทรัพย์สินฯ ก็บอบช้ำ เพราะขาดทุนกับธุรกิจทางด้านสื่อและโทรคมนาคมมาไม่น้อย จึงลดการลงทุนในธุรกิจสื่อลงทั้งหมด เขาจึงต้องหาพันธมิตรรายใหม่มาร่วมลงทุนในไอเอ็นเอ็นแทน

และเป็นเวลาเดียวกันที่ "กลุ่มยูคอม" กำลังขยายธุรกิจทางด้านบรอดคาสติง "ยูคอม" จึงกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในไอเอ็นเอ็น ไม่นานปัญหาก็เกิด ขึ้นมากมาย ทำให้สละเรือออกมาตั้งสถานี วิทยุ BUSINESS RADIO FM 96.5 จาก นั้นมาตั้งสำนักข่าวทีไอเอ็น เรดิโอ จนกระทั่ง มาเปิดบริษัทของตัวเองในนาม "สำนักข่าวทีนิวส์" และบริษัท กรีน โพรเท็คท์ฯ โดยเป็นผู้บริหารคลื่นวิทยุอีกหลายสถานี

ขณะที่การเคลื่อนไหวของ "สนธิญาณ" ในทางการเมือง ก็นับว่าไม่ธรรมดา!!!

เริ่มต้นในยุค รสช. ที่มีการตั้งพรรค สามัคคีธรรมขึ้น "พ่อเลี้ยงณรงค์ วงศ์วรรณ" เป็นหัวหน้าพรรค ส่วนประธานสภา คือ "ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์" และเป็นหนแรกในรอบหลายสิบปีที่ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานรัฐสภา โดยมีสิทธิ์ในการเสนอชื่อทูลเกล้าฯ นายกรัฐมนตรี

ตามคิวก็ต้องเป็น "พ่อเลี้ยงณรงค์" แต่สถานการณ์กลับตาลปัตร เมื่อ "สนธิญาณ" ได้ใช้สื่อวิทยุในมือ เปิดข่าวสกัดไม่ให้ "พ่อเลี้ยงณรงค์" ก้าวขึ้นเป็นนายกฯ ด้วยการปูดข่าวว่า...ค้าผงขาวตราสิงโตคู่เหยียบลูกโลก จนอเมริกาไม่ให้วีซ่าเข้าประเทศ

จากนั้นก็เป็นคิวที่ "บิ๊กสุ" พล.อ. สุจินดา คราประยูร ต้องยอมเสียสัตย์เพื่อ ชาติ ด้วยการขึ้นเป็นนายกฯ นำไปสู่การประท้วงขับไล่ "สุจินดา" ให้ยอมไขก๊อก! บานปลายถึงขั้นนองเลือดในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อปี 2535 ซึ่งเขายังคงเดินอยู่แถวหน้าในปีกมวลชน

และยังคงมีข่าวร่ำลือไปอีกว่า "สนธิญาณ" ต้องตามไปแก้ไขฉากจบของเหตุการณ์แบบลึกลับ กระทั่งผลักดันให้ "อานันท์ ปันยารชุน" ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีพระราชทานรอบ 2

หลังจากเงียบหายไปพักใหญ่ "สนธิญาณ" ได้กลับมาอีกครั้งในการเคลื่อนไหวล้มล้างระบอบทักษิณ และทำสกู๊ปข่าว "แดงล้มสถาบันฯ" ผ่านสำนักข่าวที-นิวส์ จนตกเป็นข่าวครึกโครมมาแล้ว...!!!

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน "สนธิญาณ" มีบทบาทอยู่ในระดับสำคัญ คอยให้คำปรึกษาผู้ใหญ่ของบ้านเมืองในการฝ่าวิกฤตการณ์ในระดับคอขาดบาดตายมากมาย แม้กระทั่งในระยะที่ประเทศไทยมีการรัฐประหารหนล่าสุด ก็ยังมีข่าวว่า "สนธิญาณ" มีบทบาทอยู่ในเบื้องลึก

ทั้งที่ก่อนนี้ "สนธิญาณ" เคยย้ำจุดยืนของตัวเองว่า ยืนอยู่ข้างประชาชน ซึ่งตรงข้ามกับฝ่ายอำนาจรัฐและกองทัพ ทว่าขุนทหารน้อยใหญ่ต่างก็ชอบที่จะรับฟังความคิดความเห็นในการวิเคราะห์ปัญหา บ้านเมืองของเขา

จึงไม่แปลกที่ "สนธิญาณ" จะถูกจับตามองว่า "อยู่เบื้องหลังของฝ่ายโค่นล้มรัฐบาลด้วยหรือไม่..." เพราะถือได้ว่าเหมือนเป็นคนคนเดียวกับ "สหายช่วง" หรือ "ธงชัย สุวรรณวิหค" ที่คอยทำงานอยู่ฉากหลัง "ต้อย-สนธิญาณ" อย่างเงียบๆ ในฐานะนักยุทธศาสตร์?!!