จี้รัฐจัดสรรงบที่เป็นธรรมกับท้องถิ่น "ธนภณ กิจกาญจน์" นายกสมาคม อบจ. แห่งประเทศไทย

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

จี้รัฐจัดสรรงบที่เป็นธรรมกับท้องถิ่น


ธนภณ กิจกาญจน์ หรือ นายกโจ้ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี ถือว่าเป็นแบบอย่างของผู้บริหารท้องถิ่น ที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในการพัฒนาพื้นที่ และอีกฐานะหนึ่งคือนายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย ที่เป็นแกนนำคนสำคัญในการนำพาคนท้องถิ่นแต่งชุดดำเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลจัดสรรเงินมาให้ท้องถิ่นจำนวนร้อยละ 30 ต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลในงบประมาณปี 2557

เติบโตมาจากครอบครัวนักการเมืองท้อง ถิ่น ชิมลางตำแหน่งทางการเมืองครั้งแรกด้วยการนั่งเป็นสมาชิกสภาจังหวัด (สจ.) จันทบุรี หลังจากนั้นก็ก้าวสู่ตำแหน่งนายก อบจ.จันทบุรี ด้วยการโหวตจากเพื่อน สจ. ก่อนที่จะมีการแก้ ไขกฎหมายเพื่อให้ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งจากประชาชน โดยตรง

หลังจากนั้นก็ครองตำแหน่งนายก อบจ. จันทบุรี เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และได้รับความไว้วางใจจากนายก อบจ.ปลัด อบจ.และสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ทั่วประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมองค์การ บริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน

นายกธนภณ บอกถึงแรงบันดาลใจในการ เข้ามาสู่ถนนการเมืองท้องถิ่นว่า ในวัยเด็กเห็น ครอบครัวทำงานการเมืองมาตลอด เห็นการลง พื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนของคนใกล้ชิดอยู่ทุกวัน จึงถือว่าเป็นสายเลือดของนักการเมือง หลังจากนั้นก็ลงสมัครรับเลือกตั้ง สจ.และก็ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนให้เข้ามาทำงานการเมืองเต็มตัว ไต่เต้ามาเรื่อยๆ จนนั่งเป็น นายก อบจ.จันทบุรี ในปัจจุบัน

นโยบายเด่นภายใต้การนำของนายกธนภณ คือการพัฒนาคุณภาพชีวิต การแก้ไขปัญหาราคาสินค้าทางการเกษตร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนการศึกษาของเด็กและเยาวชน และการสนับสนุนท้องถิ่นระดับอื่น เช่น เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในการพัฒนาพื้นที่ โดยยึดผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนที่เป็นที่ตั้ง

"แนวนโยบายต่างๆ เกิดจากการลงพื้นที่พบปะ พี่น้องประชาชน โดยจัดโครงการ อบจ.จันท์ได้ยินคุณ ตระเวนไปทุกอำเภอ ทุกตำบล เพื่อรับฟังปัญหา แล้วนำปัญหาเหล่านั้นมาหาทางแก้ไข ฉะนั้นข้อมูล ทุกอย่างจะเป็นข้อมูลจริงทั้งหมด โครงการต่างๆ ไม่ได้เกิดจากคนของ อบจ.ที่อยากจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่เป็นการสอบถามข้อมูลจากพี่น้องประ- ชาชนทั่วทั้งจังหวัด ฉะนั้นโครงการต่างๆ จะตรงตาม ความต้องการของชาวบ้าน"

นายกโจ้ บอกอีกว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้น ฐาน โดยเฉพาะเรื่องการทำถนน จะใช้ภูมิปัญหาชาว บ้านในอดีตมาปรับใช้ โดยเราจะใช้ไม้ไผ่มาทำเป็นตะแกรงเพื่อเชื่อมเนื้อปูนเข้าด้วยกัน จะไม่ใช้เหล็ก เพราะมีราคาแพง ทำให้ลดต้นทุนไปได้มากถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนรองพื้นก็จะใช้ทรายตามแม่น้ำมารองพื้น ถือเป็นการลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี ทำให้ พี่น้องประชาชนได้ถนนที่ยาวขึ้นกว่าเดิม แต่ใช้เงิน เท่าเดิม โดยปัจจุบัน อบต.และเทศบาล ใช้วิธีการอย่างนี้ทั้งหมด เพื่อประหยัดงบประมาณ ซึ่งทำให้ได้งานมากกว่าเดิม และพี่น้องประชาชนก็พอใจ

"ส่วนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อเราก็จัดเครื่องจักรกลหนักไปดำเนินการ โดยประสานกับอบต. และเทศบาลให้ออกค่าน้ำมัน เพราะอบต.และเทศบาลหลายแห่งงบประมาณมีจำนวนจำกัด เราก็ไปสนับ สนุนเรื่องเครื่องจักรทำให้ท้องถิ่นได้ดูแลประชาชนได้อย่างทั่วถึง บางพื้นที่ก็ขอแรงจากพี่น้องประชาชน มาช่วยกันทำงาน ทำให้เกิดความรัก ความสามัคคีของ คนในชุมชนไปในตัว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก"

ธนภณ บอกอีกว่า สำหรับเรื่องการศึกษา ได้ สนับสนุนงบประมาณไปให้โรงเรียนต่างๆ เพื่อซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนที่ทันสมัยมาให้โรงเรียน เพราะตระหนักดีว่าโรงเรียนในต่างจังหวัดยังขาด แคลนเรื่องเหล่านี้ค่อนข้างมาก ทั้งนี้ก็เพื่อให้โรงเรียนได้พัฒนาคุณภาพการศึกษาทัดเทียมกับโรงเรียนชั้นนำในกรุงเทพฯ ขณะเดียวกันก็เพื่อเป็น การเตรียมการในการรองรับประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2558 นี้ อันจะทำให้เด็กและเยาวชนของเรามีคุณภาพ และจะมาช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองของเราให้ดียิ่งขึ้น

"สำหรับการแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรนั้นก็ได้ร่วมกับทุกภาคส่วนในการดูแลสินค้า เกษตรของพี่น้องประชาชน เนื่องจากจันทบุรีแต่ละปีมีผลไม้ออกมาจำนวนมากทั้งเงาะ ทุเรียน มังคุด ลองกอง และผลไม้ชนิดอื่นๆ อีก ทำให้แต่ละ ปีมีปัญหาผลไม้ราคาตกต่ำ ฉะนั้นทาง อบจ.จันทบุรี กำลังดำเนินการทำห้องเย็นขนาดใหญ่เพื่อเก็บผักผลไม้ต่างๆ เพื่อลดการเน่าเสีย ขณะนี้กำลังทำเรื่อง ของบประมาณไป หากโครงการได้รับการสนับสนุน งบประมาณก็จะเป็นประโยชน์ต่อชาวสวนผลไม้ เพราะจะทำให้จันทบุรีเป็นศูนย์กลางการจำหน่ายสินค้าเกษตรในภูมิภาคต่อไป"

สำหรับบทบาทในตำแหน่งนายกสมาคม อบจ. แห่งประเทศไทย นายกโจ้ บอกว่า มีหลายเรื่องที่ร่วมกับสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย และสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทยขับเคลื่อนและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีของคนท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณที่ท้องถิ่นไม่ได้รับความเป็นธรรมในการจัดสรรงบประมาณแต่ละปี ทำให้ทั้ง 3 สมาคม ท้องถิ่นเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอและเป็นธรรม

"กฎหมายการกระจายอำนาจฯกำหนดให้รัฐบาลจัดสรรเงินมาให้ท้องถิ่นร้อยละ 35 ในปี 2549 แต่รัฐบาลทำไม่ได้ และเกรงว่าจะผิดกฎหมายก็เลย มีการแก้ไขกฎหมายการกระจายอำนาจฯเพื่อไม่ให้มีการกำหนดเพดานไว้ ฉะนั้นรัฐบาลต่อๆ มาจึงจัดสรรเงินมาให้ท้องถิ่นเพียงน้อยนิด ปัจจุบันมีการ กำหนดให้เพียงร้อยละ 27.28 ทำให้ท้องถิ่นรวมตัวกันชุมนุมเรียกร้องเพื่อให้รัฐบาลเพิ่มงบประมาณมาให้ท้องถิ่น"

นายกสมาคม อบจ.แห่งประเทศไทย กล่าวอีกว่า ดังนั้น เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2556 และวันที่ 28 มิถุนายน 2556 จึงเห็นภาพคนท้องถิ่นหน้าทำเนียบรัฐบาลบนถนนราชดำเนิน ชุมนุมเรียกร้อง ให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณมาให้ท้องถิ่นเพิ่มขึ้น โดยเรียกร้องไปที่ร้อยละ 30 ต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลในงบประมาณปี 2557 โดยบทสรุปในการหารือก็มีการตกลงกันว่าให้กรมส่งเสริมการปกครอง ท้องถิ่นแปรงบประมาณเพิ่มเติมเป็นร้อยละ 28 โดยรัฐบาลในฐานะที่กุมเสียงข้างมากจะผลักดันให้ได้ตามสัดส่วนดังกล่าว นั่นคือร้อยละ 28

"ผลกระทบในการจัดสรรเงินมาให้ท้องถิ่นคือ เงินที่ท้องถิ่นได้รับจริง ๆ ไม่ได้เป็นไปตามเปอร์เซ็นต์ ที่มีการจัดสรรมา เพราะรัฐบาลยังเอานโยบายที่เป็น ของรัฐบาล เช่น การเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ 15,000 บาท และค่าจ้าง 300 บาทต่อวันมาใส่ไว้ในหมวด เงินท้องถิ่น โครงการอสม.เชิงรุก เรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพ และโครงการอาหารเสริมมาไว้ในหมวดเงินท้องถิ่น ทำให้ดูเหมือนว่าท้องถิ่นมีเงิน เพิ่มขึ้น แต่จริงๆ แล้ว ท้องถิ่นเป็นแค่ทางผ่านของเงินเหล่านี้ ทำให้เกิดปัญหามาตลอดหลายปี จึงอยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไขและจริงใจต่อการ กระจายอำนาจให้กับท้องถิ่น"

และประเด็นร้อนๆ ล่าสุดคือ การที่ ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เสนอให้มีการยุบ อบจ.ทั่วประเทศ แล้วนำงบประมาณของ อบจ.มาแบ่งให้กับเทศ-บาลและอบต.นั้น นายกธนภณ ให้ความเห็นว่า อบจ.ไม่เคยมีปัญหาอะไร แต่คงต้องไปถามรัฐบาลว่า มีความจริงใจในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นหรือไม่ แต่เข้าใจรัฐบาลว่ามีงบประมาณ ที่ค่อนข้างจำกัด ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยดูแลเรา อยากถามว่า รัฐบาลคิดอย่างไรกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนเรื่องงบประมาณนั้น เราเรียกไป 30% แต่รัฐบาลกลับสร้างเงื่อนไขโดยให้ 27.28% ซึ่งไม่ทราบว่าเหตุผลกลใด

"วันนี้ท่านปรีชามีความคิดอยากจะยุบ อบจ. แต่อยากให้ท่านไปดูแลในเรื่องทรัพยากร ธรรมชาติ ทั้งเรื่องชายฝั่งทะเล และป่าไม้จะดีกว่า เพราะชายฝั่งทั้งอันดามัน และอ่าวไทย ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าถูกกัดเซาะมากน้อยเพียงไร รวมไปถึงป่าไม้ก็มีการบุกรุกอยู่ทุกวัน สิ่งเหล่านี้ต่างหากคืองานของรัฐมนตรี ที่จะต้องทำให้ได้และ ให้ดี ไม่ใช่มาเที่ยวยุบองค์กรอื่น"

นายกสมาคม อบจ.แห่งประเทศไทย ย้ำ อีกว่า การกระจายอำนาจเป็นเรื่องที่ถูกต้อง กระแสของโลกปัจจุบันต่างก็ให้ท้องถิ่นมีบทบาท การพัฒนาพื้นที่ มีบทบาทหลักในการให้บริการ แก่ประชาชน และหลักการเหล่านี้ก็บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทั้งปี 40 และปี 50 ฉะนั้นรัฐบาลควรจริงใจในการกระจายอำนาจ หากจะยุบ อบจ.ก็ไม่มีปัญหา แต่ต้องมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรง เพื่อให้ท้องถิ่นบริหารจัดการตนเอง ให้จังหวัดได้จัดการ และ แก้ไขปัญหาของตนเอง ซึ่งก็มีหลายจังหวัดเรียกร้อง แต่รัฐบาลไม่สนใจ ทั้งหมดก็สะท้อนอยู่ในทีว่าคนในรัฐบาลคิดอย่างไรกับคนท้องถิ่น

คือวิสัยทัศน์ และมุมคิดของนายกโจ้-ธนภณ กิจกาญจน์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี และนายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย ที่สะท้อนให้เห็นว่าเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมืออาชีพ มุ่งมั่นอย่างแรงกล้าใน การแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องชาวจันทบุรี และในฐานะนายกสมาคม อบจ. แห่งประเทศไทย ก็เสนอ มุมมองให้รัฐบาลเดินตามแนวทางการกระจายอำนาจได้อย่างแหลมคม ทั้งหมดคือตัวตนของ นายกโจ้ "ธนภณ กิจกาญจน์"


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ