บริษัท พีลาทัส มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PLT ผู้ประกอบธุรกิจขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทางเรือและทางรถบรรทุก ที่สร้างผลงานโดดเด่นมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ทีมผู้บริหารมีเป้าหมายในการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 280,000,000 หุ้น ของ PLT เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"ทีมข่าวสยามธุรกิจ" จึงขอจับเข่าคุย CEO หนุ่มไฟแรง "วราวิช ฉิมตะวัน" เพื่อเจาะลึกถึงการดำเนินธุรกิจว่าจะมุ่งหน้าไปสู่การเติบโตอย่างไร? และหลังจากเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แล้วจะสร้างความยั่งยืนได้อย่างไร?
PLT เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจให้บริการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวทางเรือ และธุรกิจให้บริการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวทางรถ ก่อตั้งโดยกลุ่มตระกูลฉิมตะวัน (คุณพ่อ) เมื่อปี 2553 ปัจจุบัน บริษัทมีเรือขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว จำนวน 19 ลำ มีขนาดตั้งแต่ 570- 900 ตัน และรถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว จำนวน 44 คัน (รถ 6 ล้อ รถ 10 ล้อ รถลากจูง และรถกึ่งพ่วง)
"การขนส่งก๊าซฯ ทางเรือ ถือเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ มากกว่า 94% และด้วยธุรกิจนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการขนส่ง จึงมีผู้เล่นในธุรกิจนี้เพียงไม่กี่ราย ดังนั้น เราจึงเป็นผู้ขนส่งก๊าซฯ ทางเรือ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย"
การให้บริการขนส่งก๊าซฯ ทางเรือ จะใช้เส้นทางเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขตครอบคลุมประเทศไทย (ฝั่งอ่าวไทย) และเรือกลเดินทะเลใกล้ฝั่ง (Near-coastal) ได้แก่ ประเทศกัมพูชาและเวียดนาม โดยลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทและบริษัทย่อยในธุรกิจขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวทางเรือ คือ กลุ่มบริษัทที่เป็นผู้ผลิตและ/หรือจำหน่ายก๊าซ LPG รายใหญ่ในประเทศไทย เช่น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
นอกจากนี้ PLT มีบริษัทลูก “บริษัท เวิลด์ไวด์ ทรานสปอร์ต จำกัด” หรือ WWT เพื่อให้บริการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวทางเรือ โดยทำการว่าจ้างเรือขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวจากบริษัทในลักษณะสัญญาเช่าเหมาเรือแบบระยะเวลา (Time Charter) เป็นเวลา 10 ปี ในการให้บริการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวแก่กลุ่มลูกค้า โดย PLT ถือหุ้น 99.99 %
ธุรกิจของ PLT จะแตกต่างจากกลุ่มโลจิสติกส์ขนส่งทางเรือทั่วไป เพราะเป็นการขนส่งก๊าซ LPG ที่ใช้ในภาคครัวเรือน อุตสาหกรรม และสถานีบริการก๊าซ ซึ่งทุกบ้านจำเป็นต้องใช้ เห็นได้จากช่วงเปิดประเทศที่ผ่านมา การขนส่งก๊าซฯ ทางเรือเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ อัตราค่าขนส่งของ PLT ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงดัชนีค่าระวางตามตลาดโลก และ PLT มีลูกค้ารายใหญ่ระดับประเทศที่ไว้ใจเราให้ช่วยขนส่งมา 10 กว่าปี ดังนั้น จึงมีรายได้ที่มั่นคงและไม่ผันผวน
ผลดำเนินงานตั้งแต่ปี 2562 - 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการขนส่งรวม 707.77 ล้านบาท 637.75 ล้านบาท 665.34 ล้านบาท และ 794.16 ล้านบาท ตามลำดับ และกำไรสุทธิ 69 ล้านบาท 35.93ล้านบาท 55.07 ล้านบาท และ 62.21 ล้านบาท ตามลำดับ โดยเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ
บริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้ไปใช้ลงทุนในการขยายกิจการ โดยซื้อเรือทดแทนเรือที่ถึงกำหนดปลดระวาง ขยายกองเรือบรรทุกก๊าซ LPG และก๊าซเคมีเหลว จำนวน 4 ลำ โดยมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับการขยายการขนส่งไปยังต่างประเทศ และเพิ่มเรือเพื่อขยายตลาดในประเทศอีก 1 ลำ นอกจากนี้ยังจะมีการขยายกองรถบรรทุกก๊าซ LPG อีกจำนวน 15 คัน พร้อมติดตั้งระบบ ERP ภายในองค์กร ปรับปรุงลานจอดรถบรรทุกก๊าซ LPG ก่อสร้างโรงซ่อมบำรุงรถบรรทุก และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ นับเป็นการสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตตามเป้าหมาย เพื่อให้บริษัทสามารถขยายตัวพร้อมรองรับการเติบโตในอนาคตและผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างยั่งยืน
PLT มองเห็นถึงศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจให้บริการขนส่งที่ครอบคลุมไปยังต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา และเวียดนาม) ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยมีสัดส่วนการส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยัง CLMV กว่า 99% จากสัดส่วนในการส่งออกทั้งหมด และเนื่องจากการการเติบโตของประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลโดยตรงต่อปริมาณความต้องการในการใช้ก๊าซ LPG เพื่อบริโภคภายในภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ภายหลังการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ได้ส่งผลเชิงบวกต่อการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจที่ดึงดูดให้การลงทุนจากต่างประเทศมายังกลุ่มประเทศ CLMV ในการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามที่มีเขตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างก่อสร้างหลายโครงการ
"PLT มีแผนขยายธุรกิจไปยังชาติ CLMV ด้วย ล่าสุดได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับภาคเอกชนเวียดนาม เพื่อต่อยอดธุรกิจการขนส่งก๊าซฯ ทางเรือ เนื่องจากภาคเอกชนเวียดนามเห็นผลงานการขนส่งก๊าซฯ ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆ ในประเทศไทย ดังนั้น การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง และเพิ่มโอกาสการลงทุนโครงการในอนาคตให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคงในระยะยาว"
