‘คิงสเตลล่า กรุ๊ป’ ประกาศทรานส์ฟอร์มธุรกิจ เปิดแผน 5 ปี วางงบลงทุน 250 ลบ. บุกตลาดไทย-ต่างประเทศ ตั้งเป้าโกยรายได้ทะลุ 2,000 ล้านบาท

วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2566

‘คิงสเตลล่า กรุ๊ป’ ประกาศทรานส์ฟอร์มธุรกิจ เปิดแผน 5 ปี วางงบลงทุน 250 ลบ. บุกตลาดไทย-ต่างประเทศ ตั้งเป้าโกยรายได้ทะลุ 2,000 ล้านบาท


นายชนะพันธุ์ กิตติเกษมศักดิ์ ประธานกรรมการ บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป จำกัด (King Stella Group Co.,Ltd. หรือ KSG ) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2566 นี้ มองว่าการท่องเที่ยวเริ่มมีการขยายตัวเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเข้ามา แน่นอนว่าภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนับเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย และจะทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคได้รับอานิสงส์ที่ดีจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย สำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2566 นี้ บริษัทฯ ได้ทำการทรานส์ฟอร์มกลุ่มบริษัทในเครือ ซึ่งแต่เดิมมีอยู่ด้วยกัน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท สยามพูลทรัพย์ อินเตอร์เคมีคอล จำกัด, บริษัท แบร์ริ่ง เพ็ทแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท คิงส์สเตลล่า แลบบอราทอรี่ จำกัด เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทเดียวกันคือ ‘บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป จำกัด(KING’s STELLA GROUP Co., Ltd หรือชื่อย่อ KSG)’ เพื่อทำให้การดำเนินธุรกิจสอดรับกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงทำให้การทำงานกระชับกว่าที่ผ่านมาอีกด้วย

สำหรับในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการขยายธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่  Air Care, Home Care, Car Care, Pet Care และ Personal Care สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ในหลากหลายตลาด โดยเฉพาะในกลุ่ม Personal Care ที่มีเจลล้างมือ  “King’s Stella Hand Sanitizer” เป็นสินค้าที่มียอดขายดีเป็นอย่างมากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งมียอดขายมากกว่า 100 ล้านบาทในช่วงนั้น และยังมีสเปรย์ปรับอากาศรายแรกในไทยกับ “King's Stella Classic Series” ที่ช่วยให้บรรยากาศ work from home ดีขึ้น และ “King's Stella Freshy Bear Gel”  เจลน้ำหอมปรับอากาศหมีคิงส์ หรือที่เรียกติดปากว่า “เจลหมีซิ่ง”

ขณะที่กลุ่ม Pet Care ซึ่งมีแบรนด์เรือธงอย่าง “BEARING Petcare” ในการเข้าทำตลาด โดยมีผลิตภัณฑ์แชมพูกำจัดเห็บหมัดสำหรับสัตว์เลี้ยง “BEARING Tick & Flea Dog Shampoo” โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในผลิตภัณฑ์แชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยง ในร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงภาพรวมตลาดสัตว์เลี้ยงมีมูลค่ามากกว่า 4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงประมาณ 80% ที่เหลือเป็นอื่นๆ อาทิ แชมพู และของใช้สำหรับสัตว์เลี้ยงอีกประมาณ 20% จะเห็นได้ว่าตลาดสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะพฤติกรรมของผู้คนเริ่มปรับเปลี่ยนจากการเลี้ยงเพื่อเฝ้าบ้าน มาเป็นให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองจนเปรียบเสมือนเป็นอีกหนึ่งสมาชิกในครอบครัว โดยในปีนี้บริษัทฯ จะขยายผลิตภัณฑ์เข้าสู่กลุ่มสินค้าพรีเมียมและอัลตร้าพรีเมียมมากขึ้น จากเดิมที่สินค้าส่วนมากจะเป็นกลุ่มสแตนดาร์ด ทำให้บริษัทฯ ได้ลงทุนในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงไปมากกว่า 100 ล้านบาท โดยเป็นแผนนับตั้งแต่ปี 2563-2567

ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีสินค้าอาหารทานเล่นสำหรับสุนัขอย่าง “BEARING Jerky Treats Soft Snack” ที่เติบโตค่อนข้างสูง ทำให้บริษัทฯ ต้องมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้น  โดยในตอนนี้ได้มีการสั่งซื้อเครื่องจักรมาจากเยอรมัน ภายใต้เงินลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เพิ่มกำลังการผลิตจากกว่า 1 ตันต่อวัน เป็นเกือบ 10 ตันต่อวัน แน่นอนว่าจะทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพที่สามารถทำตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น

ส่วนผลิตภัณฑ์ขนมแมวเลีย “BEARING Cat Liquid Snack”ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก โดยมีอัตราการเติบโตมากขึ้น โดยบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มทำตลาดดังกล่าว ซึ่งในส่วนนี้ก็ยังมีแผนงานที่ขยายการผลิตเช่นเดียวกัน เบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนด้านเครื่องจักรในช่วงปลายปี 2566 นี้ ควบคู่ไปกับการขยาย Pack Size ให้ตอบโจทย์ตลาดมากขึ้น รวมถึงพัฒนาสูตรที่ให้ความสำคัญกับโรคไตของแมว จึงได้มีการออกสินค้าในสูตรโซเดียมต่ำ แต่โปรตีนสูง โดยบริษัทฯ จะเน้นให้เนื้อไก่คุณภาพสูงในการผลิต และมีส่วนประกอบของปลาทะเลด้วย ซึ่งจะทำให้รสชาติที่ทำเป็นเกรดญี่ปุ่น”

สำหรับในกลุ่มธุรกิจ Car Care อีกว่า “President's WaxOne หนึ่งในผู้บุกเบิกตลาดคาร์แคร์ในไทยนับตั้งแต่ปี 2516 โดยเป็น สเปรย์บำรุงรักษาเครื่องหนังรายแรกของไทย และยังครองความเป็นผู้นำตลาดในเวียดนามอีกด้วย โดยปัจจุบันบริษัทมีสินค้าอยู่ด้วยกัน 2 ซีรียส์ ได้แก่ WaxOne Easy จับกลุ่มคอนซูเมอร์หรือลูกค้าทั่วไป ว่างจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรดและร้านค้าดั้งเดิม มีราคาจับต้องได้ ไม่สูงมากนัก และ WaxOne Gold ที่ถูกพัฒนามาเป็นอย่างดี ทำให้เป็นสินค้าที่มี Performance สูง เทียบเท่าสินค้านำเข้า ตอนนี้วางจำหน่ายผ่านช่องทางบูธคีออส ตั้งตามสถานที่ต่างๆ โดยจะมีพนักงานขายคอยแนะนำสินค้าให้ใช้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ วางแผนที่จะไปตั้งบูธคีออส อีกมากกว่า 10 แห่งในอนาคต

สำหรับในกลุ่มธุรกิจคาร์แคร์บริษัทฯ ได้วางแผนว่าในปี 2567 จะมีการลงทุนเพื่อเปิดร้านคาร์แคร์ ซึ่งจะกลายมาเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ และจะมีการลงทุนนำเข้าเครื่องล้างรถอัตโนมัติรูปแบบใหม่ รวมถึงตอบโจทย์การทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าที่จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคตอีกด้วย ส่วนนี้เน้นกลยุทธ์การตอกย้ำถึงแบรนด์ President's WaxOne ที่ใส่ใจความต้องการผู้บริโภค และใช้อินโนเวชั่นในการขับเคลื่อนแบรนด์ รวมถึงยังจะเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์ President's WaxOne ทางหนึ่งด้วย

นายชนะพันธุ์ กล่าวต่อว่า จากวิกฤติราคาพลังงานที่ทำให้ต้นทุนทางการดำเนินธุรกิจมีการปรับตัวสูงขึ้นนั้น บริษัทฯ มีนโยบายคือจะปรับราคาสินค้าหลังสุดในตลาด หากไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนได้จริงๆ โดยที่ผ่านมาต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทฯ เฉลี่ยแล้วมีการปรับขึ้นมากถึง 30% ซึ่งทำให้บริษัทฯ ต้องมีการปรับตัวในการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  ขณะเดียวกันมองว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาสถานการณ์เริ่มคงที่ แต่ก็ยอมรับว่ายังสูงกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายขึ้นราคาสินค้ากันไปบ้างแล้ว เพราะได้รับผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจ แม้ว่าบริษัทฯ จะเลือกปรับราคาหลังสุด ก็มองว่าจะกระทบต่อการทำกำไรของบริษัทฯ ในระยะสั้น แต่จะเป็นการสร้างความประทับใจในระยะยาวให้กับลูกค้ามากกว่า เนื่องจากลูกค้าจะเข้าใจบริษัทฯ ที่ช่วยเหลือค่าครองชีพผู้บริโภคโดยการประครองราคาในส่วนนนี้ไว้ให้นานที่สุด

ด้าน นายชุติพนธ์ กิตติเกษมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คิงสเตลล่า กรุ๊ป กล่าวเสริมว่า สำหรับแนวทางในการดำเนินธุรกิจในช่วง 5 ปีนับจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท เพื่อทำการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดและทำการตลาดให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันเป้าหมายรายได้ให้เพิ่มขึ้นมาเป็น 2,000 ล้านบาท โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีวิกฤติจากการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ก็ยังมีการเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี มองว่าจากปัจจัยบวกของเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงการขยายตลาดของบริษัทฯ ในปีนี้จะทำให้มีรายได้ 1,000 ล้านบาท โดยหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายการดำเนินธุรกิจข้างต้นนั้น มองว่าการขยายตลาดต่างประเทศจะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก จากปัจจุบัน ได้มีการส่งออกไปยัง 13 ประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 15-20% โดยตลาดส่งออกมีการเติบโตค่อนข้างดีตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา และแผนงานที่จะโฟกัสคือการเข้าไปลงทุนสร้างเครือข่าย Global Distribution เพื่อจัดส่งสินค้าให้ถึงผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด จากเดิมที่ตลาดส่งออกจะเป็นในลักษณะของผู้นำเข้าซื้อไปเพื่อจำหน่ายต่อ แต่จากนี้จะมีการลงทุนในประเทศปลายทางที่ตลาดมีศักยภาพ เนื่องจากสามารถดูแลลูกค้าได้ดีกว่า

โดยที่ผ่านมาได้ไปเปิดบริษัทที่ประเทศเวียดนาม และไปหา Distribution ปลายทาง มองว่าการที่เข้าไปลงทุนเปิดบริษัทฯ จะทำให้เข้าใจตลาดและคนท้องถิ่นได้ดี สามารถติดตามการขายและทำการตลาดได้ดียิ่งขึ้น โดยพบว่าผลตอบรับในเวียดนามค่อนข้างดี บริษัทฯ จึงจะทำโมเดลนี้ไปประเทศอื่น อาทิ อินเดีย ที่ได้มีการไปสำรวจตลาดแล้ว เนื่องจากเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีประชากรจำนวนมาก เบื้องต้นน่าจะเปิดในไตรมาส 2 และจะให้ความสำคัญกับการขยายโมเดลดังกล่าวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ฟิลิปปินส์ น่าจะสามารถเข้าไปในช่วงไตรมาส 4 และมาเลเซียที่จะเข้าไปในปี 2567

“ในปีนี้บริษัทฯ เตรียมออกสินค้าใหม่ 60 รายการ แบ่งเป็น Pet Care 40% Air Care และ Home Care รวมกัน 40% และ Car Care อีก 20% โดยสำหรับตลาดสเปรย์ปรับอากาศนั้นยังมีโอกาสการเติบโตอยู่มาก ปัจจุบันบริษัทฯ ติดท็อป 3 ของตลาดและคาดหวังว่าจะเป็นเบอร์หนึ่งภายใน 5 ปี นอกจากนี้ การทำตลาดของบริษัทฯ ยังจะขยายกลุ่มลูกค้าให้เด็กลงอีกด้วย เนื่องจากบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลา 60 ปี โดยกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นผู้บริโภคอายุเฉลี่ย 45 ปี จึงพยายามขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนที่อายุน้อยลงในช่วง 25-34 ปี เนื่องจากเป็นวัยทำงานที่มีกำลังซื้อสินค้า ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ก็ออกแบบสินค้าให้มีการตอบโจทย์กลุ่มคนดังกล่าวมากขึ้น รวมถึงยังต้องตอบสนอบ Lazy Economy ที่จะต้องนำพฤติกรรมดังกล่าวไปใช้ในทุกสินค้าของบริษัทฯ”

ทางด้าน นางวิลาสินี กิตติเกษมศักดิ์ รองประธานกรรมการ บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป  จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ากิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร ดำเนินกิจการภายใต้หลักจริยธรรมและการจัดการที่ดี โดยรับผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์กร อันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมามุ่งเน้นการพัฒนา 3 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ, สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ