โหนกระแส "จำนำข้าว" เล็งจุดตาย.. "รัฐนาวา" ?!!

วันพุธที่ 03 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โหนกระแส


การประกาศเดินหน้าโครงการ "รับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ด" ภายใต้แคมเปญ "ประชานิยม ผลิใบ" ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือว่าเป็น "เดิมพันสูง" ที่หากทำได้สำเร็จ! ก็ย่อมประกัน "ความอยู่รอด" ของรัฐบาลได้จนครบเทอม

ทว่ายิ่งนานวันเข้า นโยบายรับจำนำ ข้าวพลันกลายเป็น "จุดอ่อน-จุดตาย" ให้ฝ่ายตรงข้ามนำมา "โหนกระแส" เขย่ารัฐบาลอยู่เป็นระลอก ด้วยเหตุที่ว่า โครง การนี้ใช้วงเงินค่อนข้างสูง จนกลายเป็น "ภาระหนักอึ้ง" ต่อการเงินคงคลังของประเทศ เมื่อมีผลดำเนินงาน "ขาดทุน" ก็ต้องตั้งงบใหม่มาชดใช้ไม่สิ้นสุด

ส่วน "ปัจจัย" ที่ทำให้เป็นรัฐบาลกลายเป็น "เป้ากระสุนตก" น่าจะมาจากความย่อหย่อนในกลไกตรวจสอบการรับจำนำข้าว เป็นผลให้เกิดกระบวนการ "ทุจริต คอร์รัปชั่น" อย่างกว้างขวางในโครงการที่ต้องใช้เม็ดเงินกว่า 5 แสนล้านบาท

เดิมที "รัฐบาล" มีแผนดำเนินโครงการนี้ไว้แค่ชั่วคราว โดยยอมขาดทุน เพื่อให้ชาวนาได้ลืมตาอ้าปาก ซึ่งก็เป็นไปตาม "แคมเปญ" ที่พรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้เมื่อคราวเลือกตั้งทั่วประเทศปี 2554 แม้จะไม่มีระยะเวลา "กำหนด" อย่างเป็นทางการ แต่บางกลุ่มในรัฐบาลได้แย้มว่า น่าจะดำเนินการต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี

แต่ในทางปฏิบัตินั้น การล้มเลิกโครงการที่เป็นประโยชน์ร่วมระหว่าง "ฝ่ายการเมือง" กับชนชั้นเกษตรกร ซึ่งเป็น "ฐานเสียงหลัก" ย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่ง เพราะลำพังแค่ "รัฐบาล" ประกาศลดราคาการรับจำนำจากตันละ 1.5 หมื่นบาท เหลือ 1.2 หมื่นบาท ก็มีปฏิกิริยา "ต่อต้าน" อย่างรุนแรงจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าว แถมยังแสดงความไม่พอใจถึงขั้นประกาศชุมนุมเคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลคงราคารับจำนำในอัตราเดิมต่อเนื่องไป

โดย "รังสรรค์ กาสูลงค์" ผู้แทนชาวนาไทย ย้ำหัวตะปูว่า จะไม่ยอมให้รัฐบาลปรับลดราคาเหลือตันละ 1.2 หมื่น บาท แต่เห็นด้วยกับการกำหนดเพดานราย ละไม่เกิน 5 แสนบาท เพราะชาวนาส่วนใหญ่ที่จะได้ประโยชน์

"ไม่ได้เรียกร้องถึง 1.5 หมื่นบาทต่อตัน ตอนนั้นเอามาให้เอง เมื่อเอามาแล้ว ต้นทุนก็เพิ่มขึ้น ค่าเช่านาจากไร่ละ 500-700 บาท ปัจจุบันขึ้นไป 1,000-1,500 บาท ต่อปี บางรายมีการเก็บค่าเช่าทุกครั้งที่ทำนา เมื่อรัฐบาลสัญญากับเราไว้แล้ว มา ลดราคาจะฟ้องรัฐบาลที่รัฐบาลพูดวันนั้นกับวันนี้ไม่เหมือนกัน"

"ผู้แทนชาวนาไทย" ยังได้ตำหนิ "บุญทรง" อย่างแรงว่า..ไม่มีความรู้เรื่อง ข้าวเลย หลังจากออกมาพูดว่า "เกษตรกร ไม่สามารถขายข้าวได้เต็มราคา เพราะเกษตรกรรีบเก็บเกี่ยวข้าว เกษตรกรใจ ร้อน" ...เรื่องนี้จึงชี้ให้เห็นว่า "รมว.กระทรวงพาณิชย์" ไม่มีความรู้เรื่องข้าว การเก็บเกี่ยวที่ความชื้น 22-25% เมื่อนำมาทำข้าวแห้งข้าว 10 กก.จะเหลือ 5.5 กก.

ทั้งนี้ การขึ้นทะเบียนเกษตรกรเป็น ที่มาของการทุจริต ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโครง-การประกันรายได้ พบว่าจำนวนพื้นที่ทำนาเพิ่มขึ้นผิดปกติ ยังมีประเด็นการส่งมอบ ข้าวสารหรือเปาเกา คือโรงสีรับข้าวไว้แล้ว ไม่สีแปรแต่ซื้อข้าวสารส่งมอบแทน อาจไป ซื้อจากโกดังหนึ่งไปอีกโกดังหนึ่ง ส่วนข้าว สารในโกดังรัฐบาลไม่สามารถบอกได้ว่าขายไปเท่าไหร่ เมื่อบอกไม่ได้ทำให้สงสัยว่ามีการทุจริตหรือไม่ ดังนั้นการลดราคามีส่วนเล็กน้อยที่จะลดการทุจริต...!!!!

เช่นที่ว่านี้ แม้รัฐบาลจะมีเหตุผลหรือความจำเป็นแค่ไหนมาอธิบาย ก็คง ไม่ง่ายนักที่จะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันได้

ถ้าจะล้มเลิก "จำนำข้าว" ในทาง การเมืองย่อมไปเข้าทาง "ฝ่ายค้าน" โดยไม่อาจหลีกเลี่ยง ขณะที่ "กระแสคัดค้าน" จากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวก็น่าจะหนักหน่วง รุนแรงกว่านี้อีกหลายเท่าตัว

ฉะนั้นแล้ว "การเลิกรับจำนำข้าว" ก็ใช่ว่าจะกระทำได้ง่ายๆ พลันให้ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ต้องตกอยู่ในภาวะ "กลืนไม่เข้า คายไม่ออก" จะถอยสุดซอย! ก็เสี่ยงว่าจะสะดุดหัวคะมำ

การปรับแผน "ส่งเสริมปลูกพืชผลเกษตร" ด้วยวิธีการจัดโซนนิ่ง หรือหมุนเวียนปลูกพืชชนิดอื่นสลับแทนการโหมปลูกข้าว ที่นายกรัฐมนตรีประกาศไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าเชื่อได้ว่า เป็นความ พยายามเพื่อ "ถอยร่น" หนีห่างจากการรับจำนำข้าวที่ทำให้รัฐบาลตกเป็น "เป้าโจมตี"

เช่นนั้นแล้ว การลดราคาจำนำข้าวเหลือตันละ 1.2 หมื่นบาท จำกัดวงเงินครัวเรือนละ 5 แสนบาท จึงเป็นได้แค่ "กลยุทธ์" ที่หวังผลในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งหากในที่สุดแล้ว ทุกฝ่ายยอมรับ "ข้อเสนอ" ร่วมกันได้ โอกาสที่นโยบายอุ้มชาวนา ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะยืดยาวต่อ ไป บนเงื่อนไขที่ "รัฐบาล" ต้องบริหารจัดการโครงการรับจำนำให้การขาดทุนอยู่ ใน "ระดับควบคุมได้" ปีละไม่เกิน 8 หมื่นล้านบาทเป็นอย่างน้อย เพื่อให้อัตราตัวเลข เฉลี่ย 3 ปีนี้ ไม่เกินกรอบ 1 แสนล้านบาท อันเป็นตัวเลขเดิมในแต่ละปีที่กำหนดไว้

ขณะที่ฝ่ายค้านอาชีพอย่าง "พรรคประชาธิปัตย์" ก็ได้พยายามเดินเกมทั้งในและนอกสภา โดยเล็งเปิดแผล "คนในรัฐบาล" ที่ยังไม่มีการแจงตัวเลข "ขาดทุน" ให้ชัดเจน รวมไปถึงการระบุตัวเลขข้าวเปลือก-ข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลว่ามีเท่าไรกันแน่

เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของ "บุญทรง เตริยาภิรมย์" รมว.กระทรวงพาณิชย์ ที่เคยอธิบายว่า ข้าวในสต็อกของ กระทรวง พาณิชย์มีประมาณ 15-17 ล้าน ตัน โดยทำการขายแบบจีทูจี (รัฐต่อรัฐ) ไปแล้ว 10 ล้านตัน แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าขายให้กับประเทศใด และนำไปจัดทำในรูป แบบข้าวถุงธงฟ้า เพื่อจัดขายในราคาถูกกว่า 2 ล้านตัน ซึ่งจะเหลือข้าวอยู่ในสต็อกไม่เกิน 10 ล้านตัน

จากตัวเลขการสต็อกข้าวในโกดังรัฐที่ "บุญทรง" ไขออกมานั้น กลับเป็นในทาง "ตรงข้าม" กับข้อมูลของ "ประชาธิปัตย์" ตามที่ "น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม" ส.ส.พิษณุโลก ออกมาแฉว่า...ยังมีข้าวเหลือ อยู่ในสต็อก 17 ล้านตัน โดยข้าวในส่วนนี้ไม่สามารถระบายได้ เพราะรัฐบาลไม่สามารถหา "ประเทศคู่ค้า" ที่จะมาซื้อข้าว ราคาแพงได้

น่าสนใจอีกว่า ตัวเลขของ "ประชาธิปัตย์" ยังใกล้เคียงกับโพยของ "วราเทพ รัตนากร" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่เข้ามาอุ้ม "เผือกร้อน" ในฐานะผู้รวบรวมข้อมูลและตรวจสอบตัวเลขขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าว โดย "วราเทพ" ได้แจงข้อมูลในส่วนนี้ว่า มีข้าวค้างอยู่ในสต็อกราว 18 ล้านตัน

ด้วยข้อมูลที่ขัดแย้งกันเองนี้ ยิ่งทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามกับรัฐบาลว่า.. ข้าวในสต็อกที่แท้จริงมีจำนวนเท่าไรกันแน่??!

ทางด้าน "รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร" นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้วิพากษ์นโยบายรับจำนำข้าวว่า...การลดราคารับจำนำเป็นการแก้ปัญหาให้มีเงินดำเนินโครงการต่อไป เพราะรัฐบาลกำลัง ไม่มีเงิน จากเดิมที่วางแผนว่าต้องดำเนินโครงการ 4 ฤดูกาล การลดจำนวนเงินลง แต่ไม่ได้ลดผลประโยชน์โรงสี โกดังและเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งรัฐบาลยังไม่เปิดข้อมูลขายข้าว แม้จะลดราคารับจำนำแต่ในทาง ปฏิบัติจริง ลดการขาดทุนได้บางส่วน

"ที่มีการแอบขายข้าวกัน รัฐบาลยังไม่มีทีท่าแก้ปัญหาทุจริต โดยเฉพาะการขายข้าวที่ใช้อำนาจระดับสูงตัดสินใจแต่ละครั้ง หากรัฐบาลมีความจริงใจควรเปิดระบายอย่างโปร่งใส และตรวจสอบได้ เพราะช่องทางการระบายเป็นการทุจริตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกระบวนการ"

"สมพร อิศวิลานนท์" นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติ ระบุถึงสาเหตุของการลดราคา "รับจำนำข้าว" ซึ่งมาจากงบประมาณที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ ข้าวที่มาจากโครงการรับจำนำ มีการระบายในประเทศ ส่วนใหญ่ข้าวอยู่ในสต็อกที่รอวันระเบิด

"เราไม่มีอำนาจไปชี้นำตลาด กระทรวง พาณิชย์แจ้งทำรายงานสัญญาส่งออก 7 ล้านตัน เอ็มโอยูอีก 8 ล้านตัน แต่เมื่อเอา เอ็มโอยู กางดูแล้วฟิลิปปินส์บอก 1 ล้านตัน ราคาตลาด แต่ปีก่อนนำเข้าแค่ 3 แสนตัน บังกลาเทศ นำเข้าจริงแค่ 57 ตัน ข้อมูลเอ็มโอยูเป็นข้อมูลที่ไม่ได้กำหนดให้ปฏิบัติตาม โกติวัวร์ไม่ได้ซื้อจริง เชื่อว่าการลดราคาแล้วจะทำให้กลไกในประเทศเป็นมาร์ เก็ตไพรส์ เอกชนจะแข่งกับรัฐบาลได้ในแง่การซื้อเก็บ รัฐบาลยอมแพ้กลไกตลาดแล้ว พยายามให้ตลาดทำงาน และช่วยลดงบประมาณรัฐไม่ต้องแบกภาระ"

นี่คือวิวาทะที่สะท้อนถึงความเป็นไปของโครงการ "รับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ด" ...!!!

ถึงแม้ "เบื้องหลัง" ของผู้นำรัฐบาลจะยืนอยู่บนความได้เปรียบ ทั้งการกุมอำนาจในฝ่ายบริหารและมีเสียงข้างมากเหนือขั้วตรงข้ามอยู่ในรัฐสภา พร้อมๆ กับ ที่มี "มวลชนเสื้อแดง" คอยเป็น "ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก" มาโดยตลอด นั่นย่อมทำให้มี "ไพ่ในมือ" เหนือกว่าสารพัดม็อบที่ประกาศ "ล้มรัฐบาล"

ทว่าด้วย "เงื่อนไข" และปัจจัยเหล่านี้ ก็ยังไม่สามารถ "กู้สถานการณ์" ให้รัฐบาลพลิกกลับมาสู่แดนบวกได้

การถอยร่นของ "รัฐบาล" ในครั้งนี้ ยังคงทำให้ผู้คนในสังคมมองว่า..เป็นการ แก้ที่ปลายเหตุ และจำนำข้าวอาจกลายเป็น "เงื่อนไขหลัก" ที่เป็น "ความสุ่มเสี่ยง" ให้รัฐบาลล้มครืนก่อนครบเทอมก็เป็นไปได้

แม้การลดขาดทุนจะทำให้ "คงคลังประเทศ" กลับสู่ความมีเสถียรภาพ หรือเมื่อลดแล้ว "ชาวนา" จะไม่ขาดทุนก็ตามที แต่นั่นกลับไปสร้าง "ความรู้สึกในแง่ลบ" ให้แก่ชนชั้นเกษตรกรที่เคยช่วยกันอุ้ม "พรรคเพื่อไทย" จนได้เข้ามากุมบังเหียนรัฐนาวา

ซึ่งจะว่าไปแล้ว "จำนำข้าว" ก็มิใช่ นโยบายที่เลวร้าย และไม่ได้ขึ้นอยู่ว่า จะ ขาดทุนมากน้อยเพียงใด...เพียงแต่ที่ผ่าน มาด้วยการบริหารจัดการที่ผิดพลาดของ รัฐบาลนั่นเอง ที่ทำให้โครงการนี้ถูกมองในแง่ลบ

จนกลายเป็นว่ารัฐบาลต้อง "ดิ้น.. เป็นลิงแก้แห" เหมือนเช่นทุกวันนี้?!!


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ