ดีลเทกโอเวอร์ปะทุ! บิ๊กตลาดยา..ฮุบ‘ชับบ์ประกัน’

วันอังคารที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ดีลเทกโอเวอร์ปะทุ! บิ๊กตลาดยา..ฮุบ‘ชับบ์ประกัน’


บริษัทประกันวินาศภัยในไทยเปลี่ยนเจ้าของใหม่อีกรายเมื่อบริษัท ชับบ์ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในเครือ “ชับบ์ กรุ๊ป” บิ๊กประกันภัยในกลุ่ม “ท็อปเทน” ของสหรัฐอเมริกาและผู้ผลิตตู้นิรภัยชั้นนำของโลกได้ขายกิจการให้กับ “ซิลลิก กรุ๊ป” (Zuellig ) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาชื่อดังแบบเงียบๆ ช็อกวงการประกันวินาศภัยไทยและถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองเพราะเป็นการขายทิ้ง ของทุนต่างชาติสวนกระแสกับที่ผ่านมาซึ่งมักจะเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นคน ไทยที่ขายกิจการให้กับต่างชาติที่เข้ามากว้านซื้อบริษัทประกันไทย...
รายงานข่าวจากบริษัท ชับบ์ประกันภัย (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ชับบ์ กรุ๊ป ในสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจขายหุ้นในบริษัท ชับบ์ประกันภัย (ประเทศไทย) ให้กับบริษัท เฟดเดอรัล ฟินิกซ์ โฮลดิ้งส์ บริษัทประกันภัยในเครือซิลลิก กรุ๊ป แล้วคาดว่ากระบวนการซื้อขายน่าจะแล้วเสร็จและเจ้าของใหม่เริ่มเข้ามาบริหารได้ภายในไตรมาสสามปีนี้ ขณะที่สัดส่วนหุ้นที่ขายออกไปไม่ได้ระบุ
+ ยันลูกค้าไม่กระทบ {lt}br{gt} + ปิดตำนาน “ชับบ์เมืองไทย”
ตามรายงานข่าวบอกว่าการซื้อขายครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อผู้เอาประกันทุกรายโดยกรมธรรม์ทุกฉบับยังได้รับความคุ้มครองเหมือนเดิม แม้จะมีการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ก็ตาม และแม้จะขายบริษัทประกันภัยออกไปแล้วชับบ์จะยังทำธุรกิจในไทยต่อไปในฐานะหุ้นส่วนประกันภัยต่อของเฟอ เดอรัล ฟินิกซ์และจะสนับสนุนเฟดเดอรัล ฟินิกซ์ในการขยายตลาดประกันภัยทางทะเลและขนส่ง(มารีน) และประกันความรับผิดที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน อาทิ ประกันความรับผิด ผู้บริหารและกรรมการ (D{amp}O) ซึ่งเป็นงานที่ชับบ์ถนัดและเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโต
ชับบ์เริ่มเข้ามาทำธุรกิจประกันภัยในไทยเมื่อปี 2534 โดยเข้ามาเทกโอเวอร์บริษัท น่านฟ้าประกันภัย ซึ่งเป็นของตระกูล “มหาคุณ” เจ้าของสุราแม่โขง (ก่อนที่จะขายให้กับนายเจริญ สิริวัฒนภักดี) ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นชับบ์ประกันภัยโดยชับบ์ กรุ๊ปที่สหรัฐฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ รองลงมาคือตระกูลมหาคุณ โดยชับบ์ ประกันภัย ดำเนินธุรกิจเฉพาะประกันภัยไม่ใช่รถยนต์ (นอน มอเตอร์) เท่า นั้นไม่ได้ทำประกันภัยรถยนต์
สำหรับซิลลิก กรุ๊ป เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาชื่อดังของโลกมีต้นกำเนิดอยู่ในฟิลิปปินส์ปัจจุบันย้ายสำนักงานใหญ่ไปอยู่ที่ฮ่องกง นอกจากผลิตภัณฑ์ยาแล้วยังมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเฮลธ์แคร์และธุรกิจในเครืออีกหลายอย่างในเอเชีย อาทิ บริษัทการค้า (Trading Firm), บริษัทโลจิสติกส์รวมถึงธุรกิจประกันภัยผ่านบริษัทเฟดเดอรัล ฟินิกซ์ ซึ่งปัจจุบันเปิดธุรกิจอยู่ใน 2 ประเทศคือฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียส่วนบริษัทโบรกเกอร์ขายออกไปแล้ว
+ แฉขายเพราะไซส์เล็ก-ต้นทุนสูง {lt}br{gt} + คาดอาจฟันค่าหุ้นได้ถึง 300 ล้าน
แหล่งข่าวจากวงการประกันภัยกล่าวกับ “สยามธุรกิจ” ถึงสาเหตุที่ชับบ์ขายธุรกิจในไทยทั้งที่ทำธุรกิจมาถึง 23 ปี ว่า แม้ชับบ์จะเป็นบริษัทประกันภัยที่มีขนาดใหญ่มากอยู่ในกลุ่มผู้นำ 10 อันดับของสหรัฐฯ และเป็นบริษัทประกันวินาศภัยที่มีขนาดใหญ่รายหนึ่งของโลกมีออฟฟิศ 120 แห่ง ใน 27 ประเทศ แต่ในไทยมีขนาดเล็กมากโดยในปี 2555 มีเบี้ยรับตรงแค่ 202.868 ล้านบาท มาร์เก็ตแชร์ 0.11% อยู่อันดับ 53 ของอุตสาหกรรมจากทั้งหมด 64 บริษัท ขณะที่ในปี 2556 มีเบี้ยรับตรงลดลง 10.49% เหลือ 181.605 ล้านบาท อยู่อันดับ 54 เป็นเบี้ยประกันนอน มอเตอร์ทั้งหมด ซึ่งเบี้ยประกันส่วนใหญ่มาจากประกันขนส่งสินค้าทางทะเล ประกันอุบัติเหตุและประกันอื่นๆ อาทิ ประกันความรับผิดต่างๆ ประกัน D{amp}O ซึ่งในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้มีเบี้ยรับ 52.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24%
นอกจากจะมีขนาดเล็กแล้ว ยังมีค่าใช้จ่าย ในการดำเนินการสูงมากโดยในปี 2555 มีค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 20.34% แต่ค่าใช้จ่ายสุทธิกลับสูงถึง 521.45% คอมไบน์ เรโช 108.17% อยู่ในภาวะขาดทุนจากการรับประกันสาเหตุที่ค่าใช้ จ่ายสุทธิสูงเนื่องจากเก็บประกันไว้เองน้อยมากไม่ถึง 5% ที่เหลือประกันต่อออกไปหมดเท่ากับเบี้ยที่รับมาส่งประกันต่อออกไปเกลี้ยงทำตัวเหมือนเป็นโบรกเกอร์ไม่ใช่บริษัทประกันภัยอาจจะเพราะไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงภัยมาก ไม่ต้องใช้เงินกองทุนเยอะ อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานสูงโดยมีพนักงาน 21 คน ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2,489 ล้านบาท เทียบกับค่าใช้จ่ายในตลาดต่อพนักงานอยู่ที่ 1,334 ล้านบาท
“ในเอเชีย ชับบ์มีธุรกิจอยู่แค่ 2 ประเทศ คือ ไทย และอินโดนีเซีย ไม่แน่ใจว่าเขาขายทั้งในไทยและอินโดนีเซียให้กับซิลลิกด้วยหรือเปล่า ในไทยไม่รู้ขายไปเท่าไหร่ ตอนนี้เขามีทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท ถ้าคิดจากราคาซื้อขายบริษัททั่วไปผู้ซื้อจะซื้อไม่เกิน 1.2-1.5 เท่าของส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีอยู่ก็น่าจะขายได้เกือบ 300 ล้านบาท ถามว่าเขาซื้อหุ้นทั้ง 100% มั้ย ตามกฎคปภ.ทำไม่ได้เพราะชับบ์ไม่ได้มีปัญหาทางการเงิน”
+ วงการเซอร์ไพรส์ {lt}br{gt} + สวนกระแสฝรั่งแห่ซื้อประกันไทย
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวกล่าวว่า การที่ชับบ์ขายธุรกิจประกันภัยในไทยออกไปอาจจะสร้างความประหลาดใจให้กับวงการพอสมควร เพราะไม่มีวี่แววมาก่อนว่าทุนจากอเมริกาจะขายทิ้งประกันภัยไทยตรงข้ามกลับจะขยายธุรกิจมากขึ้น อาทิ เอซ กรุ๊ปจากอเมริกาที่เพิ่งซื้อบริษัทไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัยหรือบริษัทจูน อินชัวรันส์ในเครือแอร์เอเชียจากมาเลเซีย ที่เพิ่งซื้อบริษัทโอสถสภาประกันภัยแต่หากดูจากงบการเงินของชับบ์ประกันภัยข้างต้นไม่น่าจะรอด ซึ่งหลังจากนี้มีความเป็นไปได้ที่บริษัทประกันต่างชาติโดยเฉพาะรายที่ใหญ่ๆ ในตลาดโลกแต่เล็กในไทยอาจจะขายธุรกิจออกไป
แหล่งข่าวยังกล่าวถึงซิลลิกว่า น่าจับตามองถึงการรองรับเออีซีของซิลลิกเพราะขณะนี้มีบริษัทประกันภัยใน 3 ประเทศแล้วคือฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและไทย โดยซิลลิกถือว่ามีความแข็งแกร่งมากในฐานธุรกิจเดิมที่มีอยู่แต่ละปีทั้งกลุ่มมียอดขายเยอะมาก การมีบริษัทประกันภัยในไทยจะช่วยรองรับการประกันภัยธุรกิจในเครือได้จากเดิมที่ต้องทำกับบริษัทอื่น อาทิ บริษัท เอ็มเอสไอจี เป็นต้น อย่างไรก็ดี ธุรกิจประกันภัยของ ซิลลิกทั้งในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียไม่ใหญ่มากแต่ละประเทศเบี้ยไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ตลาดหลักเป็นประกันรถยนต์และประกันทรัพย์สินจึงไม่น่ากลัวสำหรับการเปิดบริษัทประกันในไทย
“สยามธุรกิจ” สอบถามไปยังคปภ.ถึงกรณีที่ชับบ์ขายบริษัทประกันภัยในไทยโดยคปภ.ให้ข้อมูลว่าการซื้อขายเป็นเรื่องของธุรกิจโดยจะมีการรายงานมาที่คปภ.ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนกรรมการซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งเข้ามา


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ