TDRI ปัดผักชีจำนำข้าว แนะรัฐแสดงความจริงใจ!

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

TDRI ปัดผักชีจำนำข้าว แนะรัฐแสดงความจริงใจ!


ก่อนเปิดสภามานี่เหมือนฤกษ์ ช่วงนี้การเมืองบ้านเราคลื่นลมค่อนข้างสงบ แม้จะมีคลื่นสูง 1-2 เมตรจากเอฟเฟ็กต์ของนักการเมือง แต่ในฝั่งการเมืองภาคประชาชนถือว่าร่มเย็นเป็นสุขได้อีกสักระยะเพราะกลุ่ม V For ThailandŽ ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์ประสานงานการนัดหมายชุมนุมทั่วประเทศประกาศพักผ่อน แต่ก็มีให้เห็นบ้างที่กลุ่มหนุมานอาสาฯ ออกมาแสดงพลังก็ถือว่า ธรรมดา เชื่อว่าช่วงเปิดสภาน่าจะ มีเรื่องตื่นเต้นมาให้ติดตามกันอีกระลอก..

หันกลับมามองปัจจัยหลักของประเทศเกษตรกรรมอย่างบ้านเรา เรื่องข้าวยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร และ ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการ พัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ร่วมกัน แสดงทรรศนะไว้ ดังนี้

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทวิตข้อความแจ้งว่านายกรัฐมนตรีบอกว่า ถ้า น.ส.สุภา ปิยะจิตติ มีข้อมูลการทุจริตข้าวทุกระดับ ให้ส่งหลักฐานเข้ามาพร้อมดำเนินคดีจนถึงที่สุด

แต่วันต่อมา กลับมีข่าวว่ารัฐมนตรีกระทรวงการคลังสั่งให้มีการตั้งกรรมการ สอบสวนข้อเท็จจริงกรณีที่ น.ส.สุภา ปิยะจิตติไปให้ข้อมูลโครงการรับจำนำข้าวต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจวุฒิสภาว่าโครงการรับจำนำข้าว มี "ความเสี่ยงและโอกาส" ที่จะเกิดการทุจริตทุกขั้นตอน

อันที่จริงหากนายกรัฐมนตรีมีความจริงใจในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว นายกรัฐมนตรีสมควรจะแสดงความชื่นชมต่อการทำงานของข้าราชการที่ปฏิบัติงานตาม หน้าที่แบบตรงไปตรงมา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน ตามที่ได้รับมอบหมาย โดยตรงจากคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานตามกฎหมาย และสมควรแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนเรื่องการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว แทนการสอบสวน กรณีที่ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ไปให้ข้อมูลต่อ คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจวุฒิสภา

นายกรัฐมนตรีน่าจะรู้ดีว่าคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวมีอำนาจหน้าที่อะไรบ้าง เพราะเป็นผู้ลงนาม แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ เอง หน้าที่ของ คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ คือ การปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล และ ตั้งงบประมาณคืนให้แก่ธนาคารเพื่อการ เกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อใช้หนี้ ที่กู้จาก ธ.ก.ส.และเพื่อนำเงินค่าระบายข้าว ในโครงการรับจำนำข้าวตั้งแต่ปี 2554/55 มาเป็นเงินหมุนเวียนในการรับจำนำข้าวจากชาวนา หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของผู้ปิดบัญชีโครงการ คือ เมื่อพบข้อบกพร่องในการทำบัญชีและภาวะขาดทุนของโครงการฯ ผู้ปิดบัญชีจะต้องระบุสาเหตุ ของการขาดทุนและข้อบกพร่องของการจัดทำบัญชีเพื่อให้ผู้บริหารนำไปแก้ไข คณะอนุกรรมการเปิดบัญชีฯ มิได้มีหน้าที่และอำนาจในการเสาะแสวงหาหลักฐานการทุจริต

จากการแถลงข่าวของ รมว.วราเทพ รัตนากร ซึ่งได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงของการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว ปรากฏข้อเท็จจริงว่านอกจาก การขาดทุนเนื่องจากการตั้งราคารับจำนำ ข้าวเปลือกในราคาสูงกว่าราคาตลาด (รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรับจำนำ เช่น ค่าจ้างสีข้าว ค่าเช่าโกดัง ฯลฯ) แล้ว การขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าว ยังเกิดจากสาเหตุสำคัญอีก 2 ประการ คือ 1.ในโครงการรับจำนำข้าวนาปี พ.ศ. 2555/56 ปริมาณข้าวสารที่ส่งมอบเข้าโกดังกลางของรัฐตามบัญชีของ อคส.และ อตก. มีจำนวนต่ำผิดปรกติมาก หรือพูดง่ายๆ คือ มีข้าวสารจำนวน 2.9 ล้านต้นที่ยังไม่ได้ส่ง มอบและอาจสูญหายจากโกดังกลาง ณ วันที่ 31 มกราคา 2556 และ 2.การขาดทุนเนื่องจากการระบายข้าวของรัฐในราคาต่ำกว่าราคาตลาด (ราคาขายส่งข้าวสารในตลาดกรุงเทพฯที่รายงานโดยกรมการค้าภายใน)

ปัญหาข้าวสารจำนวน 2.9 ล้านตัน ที่ยังไม่ได้ลงบัญชีทำให้รัฐบาลสั่งการให้มีการตรวจสต็อกข้าวทั่วประเทศเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2556 แต่ดูเหมือนว่าการตรวจสต็อกข้าวดังกล่าว เป็นเพียงปฏิบัติ การผักชีโรยหน้าเพื่อให้ประชาชนเชื่อว่าไม่มีข้าวจำนวนมากหายไปจากโกดังกลาง ของรัฐ ถ้าจะมีการทุจริตก็เป็นเพียงปัญหา เล็กๆน้อยๆ ในทางปฏิบัติ โรงสี และพ่อค้า ข้าวรู้ว่าการตรวจสต็อกข้าวอย่างจริงจังไม่สามารถทำได้ภายใน 1 วัน มิหนำซ้ำยัง ไม่มีการตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่าง บัญชีข้าวสารที่โรงสีแต่ละแห่งสีแปรและส่งมอบเข้าโกดังว่าสอดคล้องกับบัญชีข้าวสารที่แต่ละโกดังรับมอบหรือไม่ และตรวจสอบว่าบัญชีดังกล่าวตรงกับปริมาณ ข้าวสารและข้าวเปลือกที่มีอยู่จริงตามโกดังต่างๆ หรือไม่ การตรวจสอบการทุจริต แบบนี้จะต้องนำข้อมูลบัญชีของหน่วยงาน รัฐทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการรับจำนำข้าว ตลอดห่วงโซ่มาตรวจสอบพร้อมๆ กัน ได้แก่ องค์การคลังสินค้า องค์กรตลาดกลางเกษตรกร ธ.ก.ส. กรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศ คำสั่งและการอนุมัติของคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ของ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ

นอกจากข้อมูลของคณะอนุกรรมการ ปิดบัญชีฯ แล้ว ยังมีข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ที่บ่งชี้ว่าอาจมีการลักลอบนำข้าว ในโครงการจำนำไปหมุนขายในตลาดก่อน (แล้วค่อยหาซื้อข้าวสารราคาถูกจากประเทศ เพื่อนบ้านนำมาคืนโกดังกลางของรัฐในภายหลัง) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เคยตอบกระทู้ในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 20 มีนาคม 2556 ว่า รัฐบาลระบายข้าวสู่ตลาด 7 ล้าน ตัน ตัวเลขนี้ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ข้าวสำหรับการบริโภคในประเทศและการส่งออก เราทราบว่าในช่วงตุลาคม 2554-กุมภาพันธ์ 2556 ความต้องการใช้ข้าวดังกล่าวเท่ากับ 28.137 ล้านตัน แต่ในตลาดมีข้าวสารเหลือเพียง 17.827 ล้าน ตัน (เพราะจากผลผลิตข้าวจำนวน 39.682 ล้านตันข้าวสาร รัฐบาลรับซื้อเข้าโครงการ จำนำถึง 21.855 ล้านตัน)

ฉะนั้นถ้าจะให้มีข้าวสารในตลาดเพียงพอต่อการบริโภคและส่งออก รัฐบาลต้องระบายข้าวอย่างน้อย 10.31 ล้านตัน (28.137-17.827 ล้าน ตัน) แต่คุณณัฐวุฒิบอกว่ามีการระบายข้าว เพียง 7.072 ล้านตัน แปลว่าตลาดยังขาด ข้าวอีก 3.238 ล้านตัน ดังนั้น จะต้องมี ผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาลจัดการให้มีการนำข้าวจำนวนมากออกจากโกดังกลางรัฐบาล มาหมุนขายในราคาถูก ทำให้ราคาข้าวสาร ขายปลีกในตลาดมีราคาถูกและไม่ต่างจาก สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทั้งๆ ที่ต้นทุนข้าวสาร ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์แพงกว่ามาก ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ราคาข้าวสารปี 2555 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.17 บาท แต่สมัยอภิสิทธิ์เฉลี่ย 22.19 บาท

ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเร่งแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระ หรือขอความร่วมมือ จากปปช.ให้ช่วยดำเนินการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษาข้าวในสต็อก และผู้มีอำนาจหน้าที่ในการระบายข้าว แล้วส่งรายงานให้รัฐบาลและรัฐสภาโดยเร่งด่วน


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ