สะบัดร้อนสะบัดหนาว : ณรงค์ ปานนอก

ความผันผวนพลิกไปพลิกมาทางการเมืองไทย ไม่เห็นจะต้องไปมองกรณี "อาหรับสปริง" เลยก็ได้ แท้จริงแล้ว "อาหรับสปริง" ที่รัฐบาลหลายประเทศมีผู้นำ เผด็จการผูกขาดมานานหลายสิบปีถูกโค่นล้ม ก็เพราะเห็นตัวอย่างจากการเมืองไทยในช่วงต้นปี 2553 นั่นเอง

แต่ "อียิปต์สปริง" ที่เกิดลุกฮือขึ้นของประชาชนนับล้านผสมกับการฉวยโอกาสของกองทัพอียิปต์เข้ามายึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้งของอดีตนายกฯ โมฮัมเหม็ด มอร์ซี ต่างหาก อาจเป็นกรณีที่ใกล้เคียงกับคนอยู่เบื้องหลังการเมืองไทย ณ วันนี้ ต้องการโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในแบบที่คล้ายๆ กัน

น่าสนใจตรงคำพูดของกรรมาธิการต่างประเทศรัสเซียคนหนึ่งที่กล่าวว่า การเมืองในประเทศตะวันออกกลางอาจไม่เหมาะที่จะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย

ซึ่งหลายประเทศในอาหรับที่เราเห็นๆ ว่าเป็นประชาธิปไตยในแบบเลือกตั้ง ล้วนแล้วแต่ถูกครอบงำด้วย "ผู้นำเผด็จการ" ที่เกาะเกี่ยวเหนียวแน่นกับกองทัพ... มากกว่าจะยึดโยงกับพลังของประชาชน

ขณะเดียวกัน พฤติกรรมของนายมอร์ซี ก็แข็งกร้าว แน่วแน่ไม่อ่อนข้อต่อพลังม็อบ เมื่อผสมกับการบริหารประเทศในช่วง 1 ปีแรกที่ไม่เข้าตาประชาชนมากนัก ประกอบกับอียิปต์เพิ่งโค่นรัฐบาลผูกขาดของนายฮอสนี มูบารัค มาไม่นาน จึงถือว่าประชาธิปไตยในหัวใจคนอียิปต์ยังไม่เบ่งบานเพียงพอ

ผิดกับเมืองไทย ที่นักการเมืองส่วนหนึ่งนอกจากไม่ยินดียินร้ายต่อระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยังมีมวลชนกลุ่มเล็กๆ กลับไปกวักมือเรียกให้ทหารออกมาแสดงอำนาจ หวังจะโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

ขอให้ "ฝ่ายกู" ชนะ เป็นพอ

มาถึงวันนี้ ดูเหมือนฝ่ายที่ยั่วยุให้ทหารยึดอำนาจอีก จึงอาจใกล้เคียงกับแนวคิดของนักการเมืองรัสเซียที่ว่า ประชาธิปไตยไม่เหมาะกับพฤติกรรมของคนไทยด้วยหรือไม่ จึงเป็นเรื่องน่าคิด

เพราะดูเหมือนไม่ใช่พลังมวลชนกลุ่มเล็กๆ ที่ทนแดดทนฝนฝ่าฝืนระเบียบ กทม.อยู่ที่สนามหลวงยาวนานอย่างมีเลศนัยเท่านั้น แต่ยังมี "เงาอำมาตย์" ผสมผสานกับ ส.ว.สายลากตั้งที่เป็นผลพวงมาจากการยึดอำนาจปี 2549 และ "ลูกหลานทหาร คมช." ที่บูชาอำนาจนิยมบางกลุ่มในกองทัพอีกด้วย

เมื่อเจือผสมกับ "ความไม่เอาไหน" ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ทำผลงานหลังจากตั้งตัวสร้างคะแนนดีมาได้ระยะหนึ่ง แต่แล้วโครงการรับจำนำข้าวที่ควรเป็นผลงานเด่นของรัฐบาลด้วยซ้ำ กลับตาลปัตรถูกฝ่ายค้านถลก เพราะน่าเชื่อว่ามีขบวนการทุจริตเข้าไปโกงกิน อย่างอิ่มหมีพีมัน จนนายกฯปูต้องปรับ ครม.ล็อตใหญ่ เอารัฐมนตรีที่ไม่เอาไหน "มีปากเหมือนมีตูด" พูดจาเหมือนตดปู้ดๆ ยิ่งฟังก็ยิ่งเข้าเนื้อออกไปเสียบ้าง

ขบวนการ "หน้ากากขาว" แม้จะแหลมคมในการล้อเลียนเย้ยหยันรัฐบาล ก็ทำท่าจะกร่อยจืดบางตาลง เพราะสื่อความหมายให้ประชาชนลุกฮือไม่ดีพอ "ตัวละคร" ชุดนี้ก็คงลาโรงไปเหมือนๆ กับขบวนการ "แช่แข็งประเทศไทย"

แต่เชื่อเถอะ กรุงเทพฯ แหล่งเพาะ "เทพ" และ "มาร" ยังมีละครชุดใหม่เอามาขย่มรัฐบาลต่อไป

ก็เห็นไหมละว่า คลิปเสียงของคนคล้าย รมช.กลาโหมกับอดีตผู้นำแม้วที่เผยแพร่แบบ "ไฟลามทุ่ง" กลายเป็นสัญญาณอันตรายที่เจาะเข้าไปทิ่มตำวงในกองทัพอย่างมีพลังแรงกว่าวิธีอื่นๆ หลายเท่านัก

ขบวนการ "เสี้ยมทหาร" เหล่ารบ ให้มีอารมณ์เดือด ถือเป็นแผนทำลายที่ได้ผล และแผ่ซ่านไปยังกลุ่มที่หมายล้มรัฐบาลให้ฮึกเหิมยิ่ง

ไม่มีใครสนใจว่าคลิปเสียงนั้นจะเป็นเสียงจริงหรือไม่ เพราะอดีต นสพ.ดาวสยาม ก็เคยใช้แผนนี้ตีพิมพ์ "ภาพปลอม" คล้ายเชื้อพระวงศ์ถูกแขวนคอ จนขบวนการที่เตรียมพร้อมอยู่เบื้องหลังออกมาไล่ฆ่านักศึกษากลางเมืองฟ้าอมรตายอย่างเหี้ยมโหดในปี 2519 และปฏิวัตินองเลือดจนรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์หัวซุกหัวซุน ไม่เคยหลาบจำกับอำนาจเผด็จการมาแล้ว

แม้วันนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยอาจคิดว่า "ปลดล็อก" หรือหลบเลี่ยงไม่ให้ประวัติศาสตร์ต้องย่ำซ้ำรอยเก่า แต่ก็ไม่อาจ "เซ่อซ่า" แม้นาทีเดียวเพื่อเดินไปบนเส้นทางประชาธิปไตยที่เต็มไปด้วยกับระเบิดได้

"ผังล้มเจ้า" เคยได้ผลชะงัดมาแล้ว ก็อาจเกิด "ผังล้มกองทัพ" ขึ้นมาใหม่ได้เหมือนปอกกล้วย

แน่นอน ฝ่ายค้านและฝ่ายแค้น คงเตรียมอาวุธลับไว้ถล่มอีกหลายเล่มเกวียน ปัญหาอยู่ที่ว่า ฝ่ายรัฐบาลเองกลับบริหารอำนาจจนเพลิน เพลินจนเกิด "สนิมในเนื้อ" ก็สนิมที่เอาคลิปมาแฉจนกลายเป็นแผลบ่อนทำลายพรรคขณะนี้นั่นแหละ

อะไรไม่สำคัญเท่ามวลชนคนเสื้อแดงที่มีพลังเข้มข้น วันนี้คนเสื้อแดงก็ "หลบใน" หายไปอย่างน่าเสียดาย เท่ากับหยุดเคลื่อนไหวพลังประชาธิปไตยที่ควรปกปักให้เกิดคานอำนาจทางการเมืองอย่างคู่ขนานไปกับพลังที่กวักหาเผด็จการ ไม่รู้ว่าแกนนำยุทธศาสตร์ของรัฐบาลกำลังมึนอำนาจอยู่หรือไร

ปล่อยให้ฝ่ายค้านเลียนแบบเสื้อแดงรุก "ผ่าความจริง" และขยายมวลชนอย่างต่อเนื่อง จนจวนจะเป็นแนวร่วมโค่นล้มรัฐบาลรวดเร็วในอีกไม่กี่เพลาข้างหน้าอย่างเห็นแววชัดขึ้น

หรือว่าลางร้ายของพรรคเพื่อไทย ใกล้ถึงเวลาอัสดงแล้วจริงๆ ?