“ดิไอคอน กรุ๊ป” ประกาศแผนธุรกิจปี 66 ทุ่ม 2 พันล้านบาท “สร้างโรงเรียนรูปแบบมิกซ์ยูสสอนทำธุรกิจออนไลน์ฟรี” ให้กับตัวแทนจำหน่าย พร้อมแตกไลน์สินค้าสกินแคร์เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ตั้งเป้าภายใน 5 ปี รายได้แตะหมื่นล้าน

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2565

“ดิไอคอน กรุ๊ป” ประกาศแผนธุรกิจปี 66 ทุ่ม 2 พันล้านบาท “สร้างโรงเรียนรูปแบบมิกซ์ยูสสอนทำธุรกิจออนไลน์ฟรี” ให้กับตัวแทนจำหน่าย พร้อมแตกไลน์สินค้าสกินแคร์เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ตั้งเป้าภายใน 5 ปี รายได้แตะหมื่นล้าน


วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ประธานกรรมการบริหาร ผู้ก่อตั้ง บริษัท  ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด (The iCon Group) กล่าวว่า เกิดขึ้นเพื่อปฏิวัติวงการขายของออนไลน์รูปแบบใหม่ ด้วยระบบ Dropship Fulfillment ที่มีจุดเด่นคือ ไม่ต้องสต็อกสินค้า ไม่ต้องแพ็คของ ไม่ต้องออกไปส่งของเอง ตอบโจทย์ทุกการซื้อขายออนไลน์ ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว เช่น สมมุติว่าคนที่ต้องมานั่งขายของออนไลน์เอง เขาไม่ต้องมาแพคของเอง ฝ่ารถติดไปไปรษณีย์ เพื่อไปส่งของเองแต่พอมาทำกับบริษัทเรา ไม่ต้องมาทำตรงนี้แล้ว เพราะทางบริษัทเราได้เขียนระบบซื้อขายผ่านทางคลาวน์ แล้วก็สามารถล็อกอินเข้าไป กดสินค้าก็มีคนแพ็คของให้และมีคนส่งของให้เลย คนขายก็รอรับตังค์เป็นกำไรจากการขายของเท่านั้นเอง ซึ่งมันก็สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น แตกต่างจากสมัยก่อนจะเป็นลักษณะเรื่องการสต็อกสินค้าจำนวนเยอะๆ สต็อกก็จะสต็อกไว้ที่บ้าน บางทีที่บ้านกับโกดังที่เก็บสินค้าจะมีความแตกต่างกันเรื่องควบคุมความชื้น ควบคุมอุณหภูมิมันของสินค้า แล้วถ้ายิ่งสินค้าเป็นอาหารเสริมแล้วไปไว้บ้านก็อาจจะไม่ค่อยดี กว่าจะไปถึงมือผู้บริโภคสินค้าก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไป คุณภาพก็ไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร

พร้อมกันนี้ บริษัทเรายังมีโรงเรียนสอนธุรกิจออนไลน์ ที่ล้ำสมัยที่สุดในประเทศไทย เพื่อให้ตัวแทนได้เรียนรู้ฟรี สอนตั้งแต่เริ่มต้น จนทำได้อย่างมืออาชีพ และบริษัทยังได้ทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ BOOM ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 11 ตัว เป็นอาหารเสริม 10 ตัว ยาสีฟัน 1 ตัว  สำหรับสินค้าที่ทำยอดขายเป็นอันดับ 1 คือ คอลลาเจน Boom อันดับที่ 2 คือ กาแฟ Room อันดับที่ 3 คือ ยาสีฟัน Boom และรองลงมาคือ BOOM D-Nax  ซึ่งแบรนด์ดังกล่าวประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว หลังจากดึง 6 พระเอกซุป’ตาร์ชื่อดัง คือ ป้อง-ณวัฒน์, บอย-ปกรณ์, เวียร์-ศุกลวัฒน์, โดม-ปกรณ์ ลัม, กันต์-กันตถาวร และ พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในแต่ละสินค้า โดยเฉพาะการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นแฟนคลับของพรีเซ็นเตอร์ดังกล่าว

 

ผู้บริหารหนุ่ม กล่าวถึงแผนการตลาดในปี 2566 ว่า ในปีหน้าบริษัทเตรียมจะขยายไลน์สินค้าจากเดิมที่มีอยู่แล้วโดยการสร้างแบรนด์สินค้าตัวอื่นเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มความหลากหลายผู้บริโภคได้เลือกสรรโดยคาดว่าจะเป็นในกลุ่มสกินแคร์ซึ่งปัจจุบันมีฐานผู้บริโภคใหญ่ที่สุด และยังคงใช้พรีเซนเตอร์ที่เป็นซุปตาร์ระดับท็อปเทนของเมืองไทยในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อเป็นช่องทางช่วยทำตลาดให้กับบรรดาตัวแทนจำหน่ายของบริษัทฯ ที่ปัจจุบันมีฐานสมาชิก  2 แสนกว่าราย นอกเหนือจากการยึดกลยุทธ์ 3 ดี คือ 1.สินดีค้า 2.ราคาดี และ 3.การตลาดดี อีกทั้งทางบริษัทยังใช้ช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ของบริษัทฯ ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ ในการวางระบบ Dropship Fulfillment เพื่อตัวแทนไม่ต้องสต็อกสินค้าแต่สามารถจัดส่งผ่านการสั่งซื้อได้ทันทีอย่างต่อเนื่อง เป็นระบบที่สร้างยอดขายให้บริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่เปิดธุรกิจมาเป็นระยะเวลา 4 ปี แล้วจนถึงทุกวันนี้ โดยปีแรกเริ่มทำธุรกิจในปี 61 ทำรายได้อยู่ที่ 80 ล้านบาท ปี 62 อยู่ที่ 322 ล้านบาท ปี 63 อยู่ที่ 378 ล้านบาท และปี 64 ที่ผ่านมาเติบโตแบบเกินเท่าตัวมาที่  4,950 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นช่วงที่เจอสถานการณ์โควิดด้วยที่ส่งผลให้การขายของออนไลน์ค่อนข้างได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งนี้ ในปีหน้าบริษัทฯ ได้วางแผนจะใช้งบการตลาดเท่ากับปีนี้ประมาณ 500 ล้านบาท การทำโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมการส่งเสริมการตลาดที่เรามอบให้กับตัวแทนจำหน่าย

“แต่สำหรับยอดขายปีนี้ (2565) ของบริษัทยอมรับว่ายอดขายอาจจะตกลงมานิดหนึ่ง คาดว่าน่าจะอยู่ที่  4,000 ล้านนิดๆ ซึ่งตนเองก็ตอบไม่ถูก แต่ที่ปรึกษาเพื่อนๆ ที่ทำธุรกิจด้วยกันก็เหมือนกัน หาคำตอบไม่ได้  เพราดะเหมือนธุรกิจเปิดอะไรมันน่าดีขึ้น แต่มันกลับไม่ดี กำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่กลับมา หรืออาจจะเพราะว่าพอเปิดประเทศคนอาจจะเก็บกดเรื่องการไม่ได้ไปเที่ยวมานานช่วงโควิดและตอนโควิดคงซื้อสินค้าออนไลน์กันเยอะแล้ว พอสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มกลับมาปกติเลยคงอยากนำเงินไปท่องเที่ยวกันมากกว่าและก็นิยมไปเที่ยวต่างประเทศกันมันก็เงินก้อนเดียวกัน เอาไปใช้ต่างประเทศ ก็ไม่มีมาใช้ในไทยแล้วซึ่งผมก็มองว่าน่าจะเป็นผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยในส่วนของอาหารเสริมลดน้อยลง ซึ่งผมมองว่าก็ต้องรอดูสถานการณ์ไปสักระยะก่อน บริษัทก็คงยังไม่ไปปรับอะไรในกลยุทธ์ธุรกิจมาก เราต้องนิ่งให้เป็น ทำธุรกิจบางทีปรับจนเสียวงสวิงอาจจะเละเทะ มันก็มั่ว ผมว่าไม่ต้องทำอะไรกระตุ้นหรอกทำปัจจัยพื้นฐานให้ดี เดียวมันก็จะกลับมาดีขึ้นเอง”

ประธานกรรมการบริหาร ดิไอคอน กรุ๊ป กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ใรปีหน้าบริษัทมีแผนใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านบาท สร้างโรงเรียนสอนการทำธุรกิจออนไลน์ฟรีให้กับตัวแทนจำหน่ายสินค้า ในย่านถนนหทัยราษฎร์ บนพื้นที่ 63 ไร่ ลักษณะมิกซ์ยูสที่มีทั้ง ร้านอาหาร ศูนย์ประชุม สตูดิโอขายของ ร้านนวด ห้องเรียนที่รองรับนักเรียนเพิ่มขึ้นอีก 10 เท่าตัวหลังจากที่ผ่านมาได้เปิดบริการโรงเรียนดังกล่าวมาแล้ว 3 ปี ในย่านรามอินทรา สามารถรองรับนักเรียนได้วันละ 1,000 คน ซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการของตัวแทนจำหน่ายหรือจำนวนแม่ค้าออนไลน์ที่สนใจเข้าเรียนเพิ่มมากขึ้น

สำหรับในเฟสแรกจะใช้เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท สร้างโรงเรียนและร้านอาหารก่อน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 68 ซึ่งจะช่วยให้ผลิตนักเรียนหรือตัวแทนจำหน่ายที่มีความสามารถในการขายสินค้าออนไลน์และประสบความสำเร็จได้มากขึ้น ตั้งเป้าหมายจะช่วยผลักดันให้ภายในปี 70 บริษัทมียอดขายสินค้าจากตัวแทนดังกล่าวถึง 10,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 65 นี้ คาดว่ามียอดขายประมาณ 4,200-4,300 ล้านบาท ส่วนตลาดในต่างประเทศ ที่ผลิตภัณฑ์สินค้าของบริษัทฯ เข้าไปจำหน่ายและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนใหญ่จะอยู่ในตลาดอาเซียน  ได้แก่ สปป.ลาว, กัมพูชา และเมียนมาร์ ฯลฯนอกจากนี้ในปีหน้าทางบริษัทฯ ยังเตรียมการรุกตลาดในกลุ่ม CLMV ให้มากขึ้น โดยคาดว่าภายใน 5 ปีจะเข้าไปจำหน่ายในกลุ่ม CLMV ได้ครบทั้งหมด จากนั้นจะขยายไปยังหลายประเทศทั่วโลก ในอนาคตอันใกล้ และตั้งเป้าต้องการที่จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มียอดขายระดับ 10,000 ล้านต่อปีอีกด้วย



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ